ปะทิว ชุมพร เมืองทางผ่าน ที่ต้องมาเที่ยว
ทริปนี้เป็นทริปที่สัญญาไว้ยาวนานมากๆ เนื่องจากเพื่อนสมัยมัธยมเป็นคนปะทิว แล้วชวนเราไปเที่ยวตั้งแต่สมัยเรียน ฮ่าๆ นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปี ถึงเวลาแล้วสินะที่ต้องทำตามสัญญา โอเค.. จัดไป.. จัดการจองรถไฟด่วนพิเศษไปกลับ กรุงเทพฯ-ปะทิว ราคารวม 1,000 บาท เป็นการนั่งรถไฟไปเที่ยวที่เวลาดีงามสุดๆ ขาไปขึ้นขบวนที่ 39 ออกจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น. ถึงสถานีปะทิว เวลา 5.26 น. และขากลับขึ้นขบวนที่ 44 ออกจากสถานีปะทิว เวลา 23.10 น. ถึงสถานีกรุงเทพฯ เวลา 5.55 น. ผมไปช่วงหยุดยาวดังนั้นต้องจองตั๋วล่วงหน้าไปเลย (การรถไฟให้จองตั๋วล่วงหน้าสำหรับรถไฟด่วนพิเศษได้ไม่เกิน 60 วัน) เวลาสวยอย่างนี้ ใครถึกๆ สามารถไปแบบไม่นอนค้างได้เลยนะครับเนี่ย ฮ่าๆ
วันศุกร์พอเลิกงานปุ๊บ ก็รีบกลับบ้านไปกินข้าว อาบน้ำ แล้วแพ็คกระเป๋าตรงดิ่งไปสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ไปรอที่ชานชาลาที่ 5 พอใกล้ๆ เวลารถไฟก็มาจอดรอ พวกผมไม่รอช้าขึ้นรถไฟปั๊บก็หลับเก็บแรงกันเลย ฮ่าๆ แต่ยังแอบโดนพนักงานรถไฟปลุกให้ของว่างนิดหน่อย ใครที่ขี้หนาวแกะผ้าห่มผืนเล็กๆ ที่เขาวางไว้ให้มาใช้ได้เลยนะครับ
กำลังนอนหลับสบาย เจ้าหน้าที่มาปลุกอีกเช่นเคย หา…!! ถึงแล้วเหรอ เวลาช่างผ่านไปไวมาก ตอนนี้เวลา 5.33 น. รถไฟเลทไปแค่ 7 นาทีเอง สักพักเพื่อนก็มารับ ขึ้นรถไปไม่ถึง 2 นาที ถึงรีสอร์ทแล้ว หา…!! อีกรอบ ถ้าใกล้ขนาดนี้ให้เดินไปก็ได้นะ ฮ่าๆ ใบ้ให้ล่ะกันครับที่สถานีปะทิว จะมีรีสอร์ทเล็กๆ ราคาไม่แพง ผมได้ห้องแอร์สำหรับ 2 คน คืนละ 500 บาท เจ้าของใจดีให้ Early Check-in แต่เช้าด้วยครับ จากนั้นก็เคลียร์ตัวเอง เพื่อนจะมารับไปกินข้าวแล้วพาไปตะลอนทัวร์
ที่แรกที่เราจะไปก็คือ วัดถ้ำเขาพลู อยู่ที่อำเภอปะทิว ที่นี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ. 2325 บริเวณวัดมีทั้งที่ราบ ภูเขา และถ้ำที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อีกทั้งบริเวณชายเขามีพลูขึ้นเต็มไปหมดจึงเป็นที่มาของชื่อว่า วัดถ้ำเขาพลู ภายในถ้ำมีบ่อน้ำที่รองรับหยดน้ำจากเพดานถ้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยครับ
แล้วเราก็ไปต่อกันที่จุดชมวิวเขาดินสอ อำเภอปะทิว ที่นี่จะเป็นที่นิยมในการมาดูเหยี่ยวอพยพในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมของทุกปี แต่พวกผมไม่ได้ขึ้นไปจุดชมวิวด้านบนสุดเพราะต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในการเดินเท้าตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จึงแวะแค่จุดชมวิวจุดแรกที่สามารถนำรถยนต์ขึ้นมาได้เท่านั้น

เหยี่ยวอพยพ จากเว็บไซต์ www.nootalon.com
ที่ต่อไปก็คือ หาดทุ่งวัวแล่น อำเภอปะทิว ชายหาดที่นี่มีเม็ดทรายที่ขาวละเอียด น้ำทะเลไม่ใสมากแต่สะอาด ตัวหาดมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย เป็นที่นิยมในการมาพักผ่อนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
เมื่อชื่นชมความงามของหาดทุ่งวัวแล่นเสร็จแล้ว เราก็ไปต่อกันที่จุดชมวิวเขามัทรี อ.เมืองชุมพร ที่นี่สามารถชมวิวได้ 360 องศา มองเห็นปากน้ำชุมพรและชายหาดทะเลชุมพร และยังมีพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์ใหญ่ให้ได้สักการะด้วย ด้านบนนี้มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะแยะมาก โดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตกจะเป็นอะไรที่โรแมนติกมากๆ เลยครับ ทางขึ้นเขามัทรีค่อนข้างชันนะครับ ใครที่ขับรถไม่แข็งไม่แนะนำให้ขับขึ้นมาครับ
ที่ต่อไปก็คือ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตั้งอยู่บริเวณหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร ศาลกรมหลวงชุมพรฯ มีทั้งหมด 217 แห่งทั่วประเทศ แต่ที่ชุมพรมีความอลังการเพราะเป็นศาลที่ใหญ่ที่สุด จากบนนี้มองเห็นหาดทรายรีด้วยครับ สวยมากๆ
จากนั้นให้เดินลงบันไดไปด้านล่าง เราจะเจอเรือรบหลวงชุมพร เป็นเรือรบที่ถูกปลดประจำการในปี พ.ศ. 2518 มีความยาว 68 เมตร และกว้าง 6.55 เมตร ดูขลังและยิ่งใหญ่ดีครับ
ที่ต่อไปก็คือ สวนนายดำ อำเภอทุ่งตะโก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง จากหาดทรายรี ไปถึงทุกคนก็หิวโซกันเลยทีเดียว เมื่อจอดรถเสร็จก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารทันที ขอตัวไปหม่ำแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวจะรีบมารีวิวต่อ ฮ่าๆ
อิ่มแล้วก็พร้อมที่จะไปเดินชมสวนกันสักที เอาล่ะ..ขอเกริ่นความรู้กันหน่อย สวนนายดำ เจ้าของโดย คุณดำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ นั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจังหวัดชุมพร มีการทำเกษตรแบบผสมผสานทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและแผนใหม่จนมีคุณภาพสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศ ส้มโชกุนของที่นี่ขึ้นชื่อมาก ถึงกับขึ้นสโลแกน “ชิมส้ม ชมสวน” และยังไม่พอยังแถม “ส้วม” เข้าไปด้วย โดยส้วมที่นี่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ได้รับการการันตีว่าเป็นส้วมที่สะอาดถูกสุขนามัยจากกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นใครที่ชอบส้วมแปลกๆ ต้องมาที่นี่ ยืนยันว่าใช้ได้จริงเพราะผมไปลองมาแล้ว ฮ่าๆ แหม.. เพิ่งกินข้าวกันมาอิ่มๆ นี่นา
เสร็จเรียบร้อยก็ตรงดิ่งกลับที่พักเพื่อเก็บแรงพักผ่อน หัวถึงหมอนก็หลับเลย แป๊บเดียวจริงๆ ให้ตายสิ เช้าวันใหม่มาแล้ว พวกผมก็เตรียมตัวไปวันเดย์ทริปดำน้ำกัน ทานอาหารเช้าแล้วก็ขับรถไปรอที่ท่าเทียบเรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร สักพักเจ้าหน้าที่ก็มาพาพวกผมขึ้นเรือ
วันนี้เป็นวันที่คลื่นแรงพอประมาณ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเปลี่ยนแผนพาไปเกาะที่สามารถบังแนวคลื่นได้เพื่อที่จะให้พวกผมได้ดำน้ำ จากเดิมที่จะไปเกาะง่ามน้อย เกาะง่ามใหญ่ เกาะกระโหลก เกาะทะลุ ก็เปลี่ยนไปเกาะทะลุ เกาะมาตรา เกาะละวะ เกาะลังกาจิว ใต้น้ำมีตะกอนพอสมควรเนื่องจากอิทธิพลของพายุ แต่ยังเห็นปะการังครับ มาชมภาพกันดีกว่า
เมื่อดำน้ำกันเรียบร้อย ทางทัวร์ก็พามาส่งที่ท่าเทียบเรือ แล้วก็ขับรถกลับไปยังรีสอร์ทที่ปะทิวเพื่อเก็บข้าวของและรอรถไฟรอบ 23.10 น. กลับกรุงเทพฯ ระหว่างนั่งรอรถไฟ พวกผมก็คุยกันว่าการมาปะทิว จ.ชุมพร ครั้งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองพวกผมไปมาก ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้ค้นหาอีกมากมาย ไม่ได้เป็นแค่เพียงเมืองทางผ่านอีกแล้ว ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าแล้วแพ็คกระเป๋าไปด้วยกันนะคร้าบ
ค่าใช้จ่าย
- ค่ารถไฟไปกลับ กรุงเทพฯ-ปะทิว 1,000 บาท/คน
- ค่าที่พัก 1 คืน ทั้งหมด 500 บาท ตกคนละ 250 บาท
- เดย์ทริปทัวร์ 4 เกาะ 850 บาท/คน
- ค่าน้ำมัน ทั้งหมด 500 บาท ตกคนละ 167 บาท
- อาหาร 5 มื้อ ทั้งหมด 1,330 บาท ตกคนละ 444 บาท
รวมทั้งหมด 2,711 บาท/คน
Facebook Comments