ภารกิจปีนภูเขาไฟ ตอนที่ 3 – เซเมรุ เรนูคัมโบโล
เนื่องจากเซเมรุเป็นภูเขาไฟที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน 1 คืน ในการพิชิตยอดเขา ต้องจัดหาอุปกรณ์ค้างแรม อาหาร น้ำ และที่สำคัญต้องจ้างไกด์ ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็มีน้อยมากจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องไปลุยเอาหน้างาน เมื่อถึงออฟฟิศเจ้าหน้าที่อุทยานก็แนะนำไกด์ให้มาคุยรายละเอียดเรื่องระยะเวลาที่ใช้ในการการเดินทาง เรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการปีนภูเขาไฟเซเมรุ ตรงจุดนี้คือจุดเปลี่ยนความคิดของสมาชิกว่าเราควรจะไปต่อหรือไม่
เส้นทางพิชิตยอดเขาเซเมรุ 19 กิโลเมตร (ไปกลับ 38 กิโลเมตร)
- Desa Ranu Pani – 2,200 mdpl (จุดเริ่มต้น อุทยานเซเมรุ)
- Watu Rejeng – 2,350 mdpl (กม.ที่ 6)
- Ranu Kumbolo – 2,400 mdpl (จุดกางเต็นท์ ทะเลสาบคัมโบโล กม.ที่ 9)
- Oro-oro Ombo – 2,460 mdpl (ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ กม.ที่ 10)
- Kalimati – 2,700 mdpl (จุดกางเต็นท์ คาลิมาติ กม.ที่ 17)
- Arcopodo – 2,900 mdpl (ตีนเขาเซเมรุ กม.ที่ 18)
- Gunung Semeru – 3,676 mdpl (ปากปล่องเซเมรุ กม.ที่ 19)
ค่าใช้จ่ายในการพิชิตยอดเขาเซเมรุ
- ค่าเข้าอุทยานเซเมรุ 2 วัน 420,000 IDR/คน
- ค่าจ้างไกด์ 1 คน 2 วัน 900,000 IDR ตกคนละ 150,000 IDR
- ค่าจ้างลูกหาบ 2 คน 2 วัน 800,000 IDR ตกคนละ 134,000 IDR
- ค่าเช่าเต็นท์ 3 หลัง 2 วัน 420,000 IDR ตกคนละ 70,000 IDR
- ค่าเช่าเบาะปูรองนอน 2 วัน 40,000 IDR/คน
- ค่าเช่าถุงนอน 2 วัน 60,000 IDR/คน
- ค่าอาหารห่อ 4 มื้อ 60,000 IDR/คน
รวมทั้งหมด 934,000 IDR/คน หรือ 2,476 บาท/คน
ค่าใช้จ่ายยังไม่หมดแค่นี้ เพราะต้องดูพยากรณ์อากาศด้วยว่าฝนจะตกไหม อากาศจะเย็นแค่ไหนเพื่อที่จะได้เช่าอุปกรณ์กันหนาว กันลื่น และอื่นๆ เพิ่มเติมอีก งั้นเอาคร่าวๆ เลยก็คนละไม่เกิน 3,000 บาท
เมื่อได้ราคาก็ขอกลับมาตั้งหลักก่อน เพราะสมาชิกหลายคนรู้สึกว่าเวลา 2 วัน 1 คืนมันเร่งรีบไปกับ 38 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณภูเขาไฟนั้นทั้งลื่นทั้งชัน ก็เลยกังวลว่าจะเดินต่อเนื่องไม่ไหว และค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาคิดเป็นวัน ต่อให้เราวิ่งไปก็ตามก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ต่างกับที่โบรโม่ หรือคาวาอีเจี้ยน ที่ใช้เวลาวันเดียวก็จบ ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก
หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยก็กลับไปคุยกับไกด์ใหม่ เปลี่ยนแพลนว่าไม่ต้องการพิชิตยอดเขาเซเมรุแล้ว ไปแค่ชมทะเลสาบคัมโบโล และทุ่งลาเวนเดอร์ก็พอ โดยที่ทุ่งลาเวนเดอร์ (ออโร ออโร ออมโบะ) เราจะมองเห็นยอดภูเขาไฟเซเมรุได้อย่างชัดเจน แล้วก็เดินทางกลับเลยในวันเดียวกันทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
เส้นทางเดินป่าไปทุ่งลาเวนเดอร์ (Oro-oro Ombo) 10 กิโลเมตร (ไปกลับ 20 กิโลเมตร)
- Desa Ranu Pani – 2,200 mdpl (จุดเริ่มต้น อุทยานเซเมรุ)
- Watu Rejeng – 2,350 mdpl (กม.ที่ 6)
- Ranu Kumbolo – 2,400 mdpl (จุดกางเต็นท์ ทะเลสาบคัมโบโล กม.ที่ 9)
- Oro-oro Ombo – 2.460 mdpl (ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ กม.ที่ 10)
ค่าใช้จ่ายในการเดินป่าไปยังทุ่งลาเวนเดอร์ (Oro-oro Ombo)
- ค่าเข้าอุทยานเซเมรุ 1 วัน 210,000 IDR/คน
- ค่าจ้างลูกหาบ 1 คน ไปกลับวันเดียว 300,000 IDR ตกคนละ 50,000 IDR
- ค่าอาหารห่อ 1 มื้อ 15,000 IDR/คน
รวมทั้งหมด 275,000 IDR/คน หรือ 730 บาท/คน
สมาชิกทุกคนแฮปปี้กับแพลนนี้ เพราะการเดินป่าแค่ 20 กิโลเมตรเป็นเรื่องง่าย เมื่อเราไม่ต้องปีนยอดภูเขาไฟการจ้างไกด์ก็ไม่จำเป็น และการเดินทางไปกลับภายในวันเดียวทำให้ไม่ต้องเช่าเต็นท์และถุงนอน ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดจึงถูกลงกว่า 4 เท่าตัว พรุ่งนี้ 9.00 น. จะมาเจอลูกหาบที่หน้าทางเข้าอุทยาน โดยลูกหาบจะช่วยแบกอาหารและน้ำให้เรา รวมทั้งเป็นคนนำทางให้เราด้วย เมื่อสบายใจกันแล้วก็ไปเดินเที่ยวหมู่บ้าน Ranu Pane กันครับ
ทะเลสาบเรกูโล (Regulo Lake)
ทะเลสาบนี้อยู่ไม่ไกลจากจากหมู่บ้าน Ranu Pane ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาที ถ้าโชคดีเราจะได้เจอสายหมอกไหลไปมาอยู่เหนือน้ำ แนะนำให้มากับกลุ่มเพื่อนเพราะบริเวณนี้เงียบสงบมากจนเปลี่ยวเลยครับ
พวกผมใช้เวลาที่ทะเลสาบเรกูโลกันพักใหญ่ เพราะอากาศที่นี่บริสุทธิ์ เย็นสบาย เงียบสงบ นี่คือปางอุ๋งเรนูเรกูโล (พวกผมตั้งชื่อกันเองนะครับ) ความเมื่อยล้าต่างๆ ถูกดูดกลืนหายไปกับสายหมอก และตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้สัญญานโทรศัพท์รวมทั้ง 3G/4G ดับสนิท เป็นอันว่าพวกผมถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เมื่อกลับถึงที่พักเราจะเจอกับทะเลสาบ Ranu Pane ที่เต็มไปด้วยจอกแหนไม่มีความสวยงามเลย แต่ทำไมผมต้องพูดถึงทะเลสาบนี้นะเหรอ ก็เพราะว่าจุดนี้มันมี Free Internet Wifi (DESA POS | PENDAKIAN G. SEMERU) เป็นที่เดียวในหมู่บ้านที่จะทำให้เราติดต่อโลกภายนอกได้ พวกผมต้องเดินจากที่พักเป็นระยะทาง 200 เมตร มายังบริเวณประตูทางเข้าทะเลสาบเพื่อใช้อินเตอร์เน็ต จะว่าไปก็ไม่ใช่แต่พวกผมหรอกครับ เรียกว่าคนทั้งหมู่บ้านเลยล่ะกัน ฮ่าๆๆ แล้วผู้ชายที่หมู่บ้านนี้แว๊นซ์เก่งกันตั้งแต่เด็กๆ เสียงรถมอเตอร์ไซต์ดังแว๊นซ์ๆ กันตลอด
ยิ่งมืดอากาศก็ยิ่งหนาว พวกผมกลับมาที่พักพร้อมกับนัดแนะคุณลุงโทมัสให้เตรียมอาหารห่อสำหรับเดินป่าพรุ่งนี้ 1 มื้อ และคุณลุงยังบอกว่ามื้อเช้าพรุ่งนี้จะทำ Nasi Goreng (ข้าวผัด) ให้พวกผมด้วย จากนั้นก็เตรียมตัวอาบน้ำซึ่งที่พักนี้มีเครื่องทำน้ำร้อน ทำให้การอาบน้ำของพวกผมไม่ใช่เรื่องยากเย็น เมื่อเสร็จแล้วก็เข้านอนเก็บแรงสำหรับการเดินทางไกลวันพรุ่งนี้ ประมาณเที่ยงคืนฝนก็ดันมาตกซะอีก อากาศที่หนาวอยู่แล้วก็เรียกว่าหนาวจัดเลยทีเดียว ผมนี่ไม่อยากออกจากผ้าห่มก็เลยใช้ความรู้สึกคาดว่าอุณหภูมิน่าจะประมาณ 4-5 ํC กึ่งหลับกึ่งตื่นจนกระทั่งเวลาตี 5 เอาล่ะ.. ตื่นไปอาบน้ำดีกว่า บรื้ววววว…. หนาวมากๆๆๆ
ทุกคนก็ทยอยตื่นกันมาอาบน้ำบ้างแล้ว เช้านี้อากาศหนาวจริงๆ หมอกลงหนักมากด้วย ความหวังที่จะได้เห็นทะเลสาบคัมโบโลและภูเขาไฟเซเมรุพ่นควันก็น้อยลง แต่การมาเที่ยวก็เป็นแบบนี้แหละ ธรรมชาติจะจัดสรรให้เราเอง แค่เรามุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป
พวกผมทานอาหารเช้าและไปรอลูกหาบที่หน้าทางเข้าอุทยานพร้อมกับจ่ายค่าเข้าสำหรับ 1 วัน (ถ้าไม่ต้องการพิชิตยอดเขาเซเมรุก็ไม่จำเป็นต้องใช้ใบรับรองสุขภาพ) เอาอาหารและน้ำใส่กระเป๋าให้ลูกหาบถือ ก็เป็นอันพร้อมเดินทาง ระหว่างทางเราแทบไม่ได้คุยกับลูกหาบเลยเพราะลูกหาบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฮ่าๆ นี่แหละข้อเสียของการไม่จ้างไกด์ ก็เลยเดินและเดินกันอย่างเดียว หมอกลงหนักมาก แต่ทุกคนก็หวังว่าฟ้าจะเปิดให้เราได้เห็นทะเลสาบคัมโบโลและภูเขาไฟเซเมรุ ตามมาชมเส้นทางเดินป่าในสายหมอกกันครับ
เป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับพวกผมนั่นก็คือการที่หมอกจางลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าเปิดให้แสงแดดได้ส่องลงมากระทบกับพื้นดิน แล้วอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าก็ได้เจอกับทะเลสาบคัมโบโลที่มีผืนน้ำราบเรียบนิ่งสงบ ผมหันกลับไปดูก็พบว่าหมอกสิ้นสุดอยู่ที่ป่าด้านหลัง คล้ายกับว่าพวกเราหลุดมาจากเมืองลับแลที่มีหมอกกั้นเป็นประตูทางเชื่อมระหว่างมิติ ฮ่าๆๆ ตอนนี้เป็นเวลา 14.00 น. แต่อาหารกลางวันยังไม่ตกถึงท้องเลย ฮึดสู้กันอีกนิดนึงเราจะไปพักทานข้าวกันที่ Oro-Oro Ombo (ออโร ออโร ออมโบะ) หรือทุ่งลาเวนเดอร์นั่นเอง
ทะเลสาบคัมโบโล (Kumbolo Lake)
ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก สีน้ำเป็นสีเขียวยิ่งสะท้อนกับแสงแดดแล้วยิ่งน่ามอง บริเวณนี้จะใช้เป็นที่พักกางเต็นท์ หรือรับประทานอาหารระหว่างการเดินทางไปพิชิตยอดเขาเซเมรุ โดยเราจะต้องเดินเป็นระยะทาง 9.5 กิโลเมตร เพื่อมาถึงทะเลสาบคัมโบโล
หลังจากถ่ายรูปกันสักพักก็เดินทางต่อ อีกไม่ไกลเราจะถึงทุ่งลาเวนเดอร์ Oro-Oro Ombo สักที ทุกคนเริ่มมีแรงคุยและบ่นหิวกันแล้ว ฮ่าๆ
ทุ่งลาเวนเดอร์ Oro-Oro Ombo
เมื่อเดินข้ามเขาอีกหนึ่งลูกถัดจากทะเลสาบคัมโบโล เราก็จะได้พบกับทุ่งลาเวนเดอร์ บริเวณออโร ออโร ออมโบะ (Oro-Oro Ombo) จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟเซเมรุได้อย่างชัดเจนด้วยครับ น่าเสียดายที่เมฆก้อนใหญ่บังทำให้พวกผมไม่ได้เห็นภูเขาไฟเซเมรุ แต่ทุกคนก็โอเคเพราะธรรมชาติไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลา 15.00 น. พวกเราเดินทางมาถึงจุดหมายสักที แต่ละคนทิ้งตัวนั่งกับพื้นกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เป็นมื้อที่พิเศษอีกมื้อนึงที่ได้กินข้าวท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ลูกหาบพอกินข้าวเสร็จก็นอนแผ่หลาไม่สนใจพวกผมเลย ภารกิจเดินป่าพิชิตทุ่งลาเวนเดอร์กับทะเลสาบคัมโบโลก็จบลงอย่างสมบูรณ์ พวกผมให้ลูกหาบนอนพักจนกระทั่งเวลา 16.00 น. จึงออกเดินทางกลับ ขามาใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง แต่ขากลับใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง ทำให้ออกจากอุทยานเซเมรุได้ก่อน 19.00 น. เรียกว่ามาถึงปากทางออกฟ้าก็มืดสนิทพอดี บริหารเวลากันเก่งจริงๆ
เมื่อกลับถึงที่พักทุกคนก็แยกย้ายไปอาบน้ำล้างตัว บางคนก็ออกไปที่ทะเลสาบ Ranu Pane เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ต แล้วก็กลับมารวมตัวกันทานอาหารเย็นที่คุณลุงโทมัสทำไว้ให้ ภารกิจเสร็จลุล่วงแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนบ่นเสียดายที่ไม่ได้เห็นภูเขาไฟเซเมรุที่กำลังพ่นควันเป็นปุยออกมา คืนนี้พวกเราเข้านอนกันเร็วเนื่องจากเหนื่อยกับการเดินทาง
จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึงรถจิ๊บก็มารอรับพวกผมแต่เช้า ถึงเวลาต้องลาหมู่บ้าน Ranu Pane แล้วสินะ เก็บข้าวของแล้วเอากระเป๋าโยนขึ้นหลังคารถ พร้อมเดินทางไปยังโรงแรมโบรโม่เปอร์มายซึ่งพวกผมนัดรถตู้ให้มารับไปค้างที่เมืองสุราบายา 1 คืน ก่อนจะต่อเครื่องไปยังกัวลาลัมเปอร์เพื่อที่จะกลับสนามบินดอนเมืองต่อไป แต่แล้วระหว่างทางโชคก็เข้าข้าง พวกผมได้เห็นภูเขาไฟเซเมรุพ่นควันส่งท้ายให้พวกเรา ทุกคนต่างก็ดีใจและประทับใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็ได้เห็นแล้วนะ.. ลมหายใจของพระเจ้ามหาสุเมรุ
ภูเขาไฟเซเมรุ (Mt.Semeru)
ภูเขาไฟเซเมรุสูง 3,676 เมตร เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดในเกาะชวา สามารถปีนขึ้นไปบริเวณยอดเขาได้ ซึ่งการพิชิตต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน ลักษณะการพ่นควันจะออกมาเป็นก้อน แตกต่างจากคาวาอีเจี้ยนและโบรโม่ที่พ่นควันออกมาตลอดเวลา
ทริปนี้เรียกว่ามากับดวงจริงๆ เพราะพวกผมมากันช่วงปลายฝนโอกาสที่ฟ้าจะปิดมีสูงมาก แต่ฟ้าก็ยังเปิดต้อนรับพวกเราให้ได้ชมทั้งคาวาอีเจี้ยน โบรโม่ และเซเมรุ เรียกว่ามาครั้งเดียวได้ครบเลย ถึงแม้จะไม่ได้พิชิตยอดเขาเซเมรุก็ตาม (เพราะด้วยราคาค่าเข้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ค่อนข้างแพง) แต่ก็ทำให้พวกผมได้เจอประสบการณ์ใหม่ ความมีน้ำใจของคนอินโดนีเซีย อาหารพื้นบ้าน และวัฒนธรรมต่างๆ
เรื่องขำๆ ของทริปนี้คือ ตอนขาออกจากสนามบินจูอันดาพวกผมเตรียมเงินไว้คนละ 200,000 IDR สำหรับจ่ายเป็นค่าภาษีสนามบิน แต่ปรากฏว่าเขาเก็บไปพร้อมกับค่าตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกผมก็กลายเป็นเศรษฐีไปในชั่วพริบตา ฮ่าๆๆ และก่อนขึ้นเครื่องเจ้าหน้าที่แอร์เอเชียจะจับชั่งน้ำหนักกระเป๋าทุกคนด้วยนะ ใครเกิน 7 กิโลกรัม เตรียมตัวเดินกลับไปโหลดได้เลย ดีที่พวกผมซื้อโหลดกระเป๋าเอาไว้ก็เลยเดินผ่านฉลุย เอาล่ะ… ต้องขอจบภารกิจปีนภูเขาไฟไว้เพียงเท่านี้ “ซัมไพ จำพา ลากิ” เจอกันใหม่ทริปหน้าแล้วแพ็คกระเป๋าไปด้วยกันนะคร้าบ
Facebook Comments