สังขละบุรี ทองผาภูมิ มาเที่ยวกันนะกาญจนบุรี
ทริปนี้รวมสมาชิกได้ 12 คน มากับรถยนต์ 3 คัน เรียกว่าเยอะสุดๆ ในบรรดาทริปทั้งหมดเลย ปกติไปจังหวัดกาญจนบุรีก็ไม่ได้เน้นเที่ยวแบบจริงจัง แต่คราวนี้เรามาเที่ยวกันนะกาญจนบุรี
แพลนทริป
วันที่ 1 เดินทางไปกาญจนบุรี / ต้นจามจุรียักษ์ / วัดบ้านถ้ำ / วัดถ้ำเสือ
วันที่ 2 ประตูเมืองเก่า / วัดถ้ำพุหว้า / ทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ / เขื่อนวชิราลงกรณ์
วันที่ 3 ป้อมปี่ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม / สะพานมอญ สังขละบุรี
วันที่ 4 แพบุญเติน / เดินทางกลับ กทม.
ออกเดินทางกันแต่เช้า นัดเจอที่บ้านเพื่อนที่พระราม 2 เป็นจุดปล่อยรถจุดแรก แล้วตรงดิ่งไปยังต้นจามจุรียักษ์กันเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ก็ได้เจอกับความอลังการของต้นจามจุรียักษ์ หรือต้นก้ามปูยักษ์ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาครอบคลุมพื้นที่เกือบ 1 ไร่ ขนาด 10 คนโอบ และมีอายุมากกว่า 100 ปี สามารถเข้าชมได้ฟรี ตั้งแต่ 6.00 – 18.00 น.
จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่วัดบ้านถ้ำ วัดนี้ต้องปีนบันไดมากกว่า 700 ขั้น เพื่อขึ้นไปชมพระบรมธาตุเกตุแก้วจุฬามณีนาคพรรณบุรีศรีเมืองกาญจน์ซึ่งอยู่บนยอดเขาครับ โดยระหว่างทางเราต้องเดินขึ้นบันไดลอดปากมังกร ภายในตัวมังกรมีตำนานสมัยสุโขทัยตั้งแต่เรื่องเศรษฐีสร้างพระพุทธรูปใหญ่ปางมารวิชัยในถ้ำคูหามังกรสวรรค์ ไปจนถึงความเกี่ยวข้องกับวรรณคดี “ขุนช้างขุนแผน” ให้ได้อ่านกันด้วย
จบจากวัดบ้านถ้ำเล่นเอาทุกคนเหงื่อตกกันไปตามๆ กัน พักกันสักครู่ก็เดินทางต่อไปยังวัดถ้ำเสือ นั่น… เห็นบันไดลิบๆ นั่นไหม นี่เราต้องเดินขึ้นบันไดอีกแล้ว ฮ่าๆๆ จริงๆ แล้วมีรถรางพาขึ้นไปนะครับ แต่คนต่อคิวกันเต็ม พวกผมจึงขอผ่าน ด้านบนจะมีพระพุทธรูปใหญ่ปางประทานพร ยอมรับว่าองค์ใหญ่มากใหญ่แบบสะดุดตาเลยครับ ด้านซ้ายจะมีพระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาทสูง 9 ชั้น ภายในเจดีย์สามารถเข้าชมได้ฟรีทุกวัน ตั้งแต่ 8.30 – 16.30 น. อีกด้วย อลังการมากๆ ครับวัดนี้
จบทริปวันนี้แต่ละคนขาล้ากันไปเลย คืนแรกนี่เราจะไปนอนบ้านเพื่อนที่กาญจนบุรีกันครับ ดังนั้นถึงบ้านก็นอนพักผ่อนกันเลย พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปเดินตลาดหาของรองท้องกันนิดหน่อยแล้วไปไหว้รัชกาลที่ 3 ที่ประตูเมืองเก่าเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยกันครับ ผมมัวแต่ถ่ายรูปป้ายกาญจนบุรีจนลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ถ่ายประตูเมืองเก่า สงสัยจะได้กลับไปแก้ตัวครั้งหน้าแน่ๆ ฮ่าๆๆ
เมื่อเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่วัดถ้ำพุหว้า จุดเด่นคือตัววัดสร้างด้วยศิลปะแบบขอม และอุโบสถสร้างไว้ภายในถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยที่งดงามมากครับ ต่อมาจึงมีการบูรณะและสร้างอุโบสถที่มีการแกะสลักครอบตัวถ้ำอีกที นับว่าเป็นอีกวัดนึงที่มีความอลังการมากจริงๆ
หลังจากจบทริปไหว้พระแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ถ้ำกระแซ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อเส้นทางรถไฟสายมรณะ ทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อย จากจุดนี้จะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก และถ้าใครต้องการถ่ายรูปกับรถไฟ ให้รอเวลา 5.56, 7.37, 11.40, 13.26, 16.09 และ 17.50 น. จะมีรถไฟมาจอดที่สถานีถ้ำกระแซด้วยครับ ของผมไม่อยากรอเพราะคนเต็มไปหมดเลย แล้วยังต้องลุ้นอีกว่ารถไฟจะมาตรงเวลาไหม ฮ่าๆ
จากนั้นเราก็แวะไปถ่ายรูปที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือชื่อเดิมเขื่อนเขาแหลม เข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 6.00 – 18.00 น. แล้วก็เดินทางต่อไปยังที่พักที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ป้อมปี่
เมื่อถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลมก็จัดแจงจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยาน คนละ 40 บาท รถยนต์ คันละ 30 บาท เสร็จแล้วก็เอาข้าวของที่ซื้อมาระหว่างทางไปเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นกัน พวกผมจองเป็นบ้านพัก 2 หลัง เนื่องจากเรามากันเยอะทำให้อุ่นใจกว่านอนเต็นท์มากครับ อากาศที่นี่เย็น เงียบสงบ ให้ความรู้สึกตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย
เช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ แล้วก็เก็บข้าวของออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราจะไปสังขละบุรีกันครับ ที่นี่จุดเด่นก็คือสะพานมอญ และการล่องเรือชมเมืองบาดาล โดยการล่องเรือจะคิดเหมาลำละ 300-500 บาท ถ้าใครต้องการลงไปเดินชมเมืองบาดาล หรือวัดวังก์วิเวการาม (เดิม) ต้องมาประมาณมีนาคม-พฤษภาคม ไม่อย่างนั้นจะเห็นแต่ยอดโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมวัดนี้จึงจมอยู่ใต้น้ำก็เพราะมีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์หรือเขื่อนเขาแหลมเพื่อกักเก็บน้ำ จึงเป็นสาเหตุให้วัดนี้กลายเป็นเมืองบาดาล Unseen Thailand อย่างที่เห็นครับ
เสร็จแล้วพวกเราก็ไปต่อกันที่แพบุญเติน โดยเราจะนอนบนแพ 1 คืน มีอาหารให้ 2 มื้อ มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว ด้านหลังแพจะมีอุปกรณ์เล่นน้ำ เช่น เรือคายัค เสื้อชูชีพ ฝักบัวล้างตัว และด้านหน้าแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับไว้ทานอาหารหรือทำกิจกรรมร่วมกัน บนแพมีน้ำจืดและไฟฟ้าให้ใช้แต่มีปริมาณจำกัดเพราะอาศัยปั้มดูดน้ำในถังเก็บน้ำใต้แพขึ้นมาใช้ ผมแอบชะเง้อไปดูหน้าตาเหมือนเครื่องสำรองไฟ UPS เลยครับ ฮ่าๆ ดังนั้นแค่ชาร์จโทรศัพท์มือถือกับแบตเตอรี่กล้องก็พอ ภายในห้องนอนมีพัดลมให้ครับ เรียกว่าสะดวกสบายจริงๆ ระหว่างที่เรากำลังสำรวจแพก็รู้สึกได้ว่าแพกำลังไหลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะเขาจะลากแพของเราไปผูกไว้กลางเขื่อนใกล้ๆ ริมผา เรียกได้ว่าเป็นจุดที่สวยงามมากเลยล่ะครับ ตื่นเช้ามาก็จะได้เจอขุนเขา สายหมอก และน้ำที่นิ่งสงบ อ่า… ฟิน….
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกผมก็ไม่รอช้าคว้าไม้พายพากันจ้ำบนเรือคายัคแข่งกัน บ้างก็เล่นน้ำบนแพไม้ไผ่ดูสนุกสนานกันมาก หรือจะแค่ยืนมองวิวยามเช้าก็ตะลึงกับความอลังการแล้วครับ
เอาล่ะหมดเวลาสนุกแล้วสินะ ทางแพเอาเรือมาลากกลับเข้าฝั่งซะแล้ว แพไหลเรื่อยๆ ไปตามน้ำ ร่างกายกับจิตใจได้ชาร์จแบตอย่างเต็มที่พร้อมลุยกับวันใหม่ บ้ายบาย..กาญจนบุรี ไว้โอกาสหน้าจะมาใหม่นะ แล้วแพ็คกระเป๋าไปด้วยกันใหม่นะคร้าบ
ค่าใช้จ่าย
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท และรถยนต์ 3 คัน 90 บาท ตกคนละ 48 บาท
- ค่าบ้านพัก 2 หลัง 1 คืน อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ป้อมปี่ ทั้งหมด 1,800 บาท ตกคนละ 150 บาท
- ค่าล่องเรือ สังขละบุรี ทั้งหมด 500 บาท ตกคนละ 42 บาท
- ค่าแพบุญเติน 1 คืน รวมอาหาร 2 มื้อ ทั้งหมด 13,800 บาท ตกคนละ 1,150 บาท
- ค่าน้ำมันรถทั้งหมด 5,800 บาท ตกคนละ 484 บาท
- ค่าอาหาร 8 มื้อ ทั้งหมด 10,845 บาท ตกคนละ 904 บาท
รวมทั้งหมด 2,778 บาท/คน
Facebook Comments