โอซาก้า หน้าร้อน ตอนที่ 3 – เมืองเกียวโต
เช้านี้อากาศแจ่มใสจริงๆ พวกผมเก็บของกันเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน จัดแจงเก็บที่นอน ข้าวของเครื่องใช้ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วล๊อกห้อง นำกุญแจไปหยอดที่เมล์บ็อกซึ่งถือเป็นการ Check-out เรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟใต้ดิน Namba (Subway) ฝากกระเป๋าที่ล๊อกเกอร์คนละ 500 เยน คราวนี้ก็พร้อมไปเที่ยวที่ต่อไปแล้ว หยิบบัตร Kansai Thru Pass พระเอกของเราแล้วไปด้วยกันเลย
พวกผมเริ่มจากสถานี Namba (Subway) นั่งสายสีน้ำเงิน (Yotsubashi Line) ไปลงสถานี Umeda (Subway) แล้วเดินไปสถานี Umeda (Hankyu) นั่งสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ไปลงสถานี Kutsura แล้วต่อสายสีน้ำตาล (Hankyu-Arashiyama Line) ไปลงสถานี Arashiyama แล้วเดินชมวิวกันไปเรื่อยๆ จุดหมายคือป่าไผ่อะราชิยาม่า
ในที่สุดก็มาถึง พวกผมร้องโอ้โห.. กันเลยทีเดียว สวยงามมากๆ เพราะมาหน้านี้ป่าไผ่เลยเขียวชอุ่มสดชื่นดูสบายตามากๆ และคนไม่เยอะด้วย ไม่รอช้ารีบถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันเต็มที่เลย
รถไฟสายโรแมนติกจะพาเราชมวิวเลียบภูเขาและแม่น้ำ สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ถ้าใครมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี่น่าจะฟินกว่าผมมากๆ
รถไฟซากาโน่สายโรแมนติก (Sagano Romantic Train) มีตารางวิ่ง ดังนี้
- ออกจากสถานี Sagano เวลา 9:07, 10:07, 11:07, 12:07, 13:07, 14:07, 15:07, 16:07 และ 17:07
- ออกจากสถานี Kameoka เวลา 9:35, 10:35, 11:35, 12:35, 13:35, 14:35, 15:35, 16:35 และ 17:35
ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 620 เยนต่อคน ใช้เวลาชมวิวประมาณ 30 นาที เปิดให้บริการระหว่าง 1 มีนาคม – 29 ธันวาคม และหยุดซ่อมบำรุงทุกวันพุธ (ยกเว้นพุธที่ตรงกับวันหยุดพิเศษของญี่ปุ่น)
รถไฟจะมาปล่อยเราไว้ที่สถานี Truck Kameoka สามารถซื้อของฝากน่ารักๆ เกี่ยวกับรถไฟได้ที่นี่ จากนั้นก็พากันเดินไปสถานี (JR) Umahori ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก นั่งสาย San-in Line ไปลงสถานี Emmachi อันนี้ต้องจ่ายเอง Kansai Thru Pass ไม่สามารถใช้ได้กับรถไฟของ JR คนละ 240 เยน แล้วต่อรถบัสสาย 204 หรือ 205 ไปลงที่หน้าวัดคินคะคุจิเลย สามารถใช้ Kansai Thru Pass ได้แล้ว
ถึงวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) มีค่าเข้าคนละ 400 เยน เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือวัดสีทองกลางน้ำ แต่ก่อนเป็นที่พำนักของโชกุนโยชิมิซึ เมื่อท่านโชกุนเสียชีวิตจึงถูกบูรณะให้เป็นวัดแบบเซน และเปิดให้เข้าชมกัน
เมื่อเดินกันคุ้มกับเงิน 400 เยนที่เสียไปก็เดินทางกันต่อไปยังศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ขึ้นรถบัสสาย 205 ไปลงสถานี Saiin นั่งรถไฟสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ไปยังสถานี Kawaramachi แล้วเดินนิดนึงไปยังสถานี Gion-Shijo นั่งรถไฟสายสีแดง (Keihan Line) ไปยังสถานี Fushimi-Inari เดินอีกนิดก็ถึงศาลเจ้าล่ะครับ สามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้ทั้งหมดครับ
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากของเกียวโต ไม่ว่าจะเป็นหน้าไหน ช่วงไหนคนก็จะเยอะตลอดเวลา พวกผมจะเรียกที่นี่ว่า ศาลเจ้าจิ้งจอก หรือศาลเจ้าเสาแดง เพราะจุดเด่นของที่นี่ก็คือรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกซึ่งถือเป็นตัวแทนของเทพอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และภายในศาลเจ้านี้มีเสาแดงโทริอิ (Torii) ที่เรียงรายนับพันนับหมื่นต้นทั่วภูเขา จึงเป็นที่ที่นิยมมากันมาก
จบภารกิจก็มุ่งหน้ากลับโอซาก้ากัน เพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Namba การเดินทางกลับก็ให้ขึ้นจากสถานี Fushimi-Inari นั่งสายสีแดง (Keihan Line) ไปสถานี Gion-Shijo แล้วเดินนิดนึงไปสถานี Kawaramachi นั่งสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ยิงยาวไปลงสถานี Minamikata แล้วเดินไปสถานี Nishinakajimaminamigata นั่งสายสีแดง (Midosuji Line) ไปยังสถานี Namba (Subway) เอากระเป๋าที่ฝากไว้ออกมา
จากนั้นเดินไปสถานี Nankai-Namba ขึ้นสาย Nankai Line ไปยังสถานี Kansai Airport (สนามบินคันไซ) โดยใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้เหมือนเดิม
จากนั้นพวกผมก็เข้าไปใช้บริการ KIX Lounge ที่สนามบินคันไซ อาบน้ำอาบท่ากันให้สดชื่น คนละ 500 เยน ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว ก็ออกมาทำพิธีผ่าน ตม. แล้วก็นอนรอนั่งรอเพื่อที่จะบินกลับ ทริปนี้ราบรื่นทุกประการไปได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งหมด เป็นทริปที่กินอิ่ม นอนหลับ เที่ยวสบาย เต็มๆ 4 วัน ประทับใจตรงที่รวมทุกอย่างแล้วใช้งบไม่เกิน 15,000 บาท นี่แหละ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้ากับนายปักเป้านะคร้าบ
Facebook Comments