ภารกิจปีนภูเขาไฟ ตอนที่ 1 – เกนติ้ง กัวลาลัมเปอร์
สมาชิกพร้อมหน้าที่สนามบินดอนเมืองเวลา 5.00 น. ขาไปทุกคนจัดการน้ำหนักกระเป๋ากันได้ดีจึงไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวโหลดกระเป๋า การเดินทางต่อที่หนึ่งจากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์ผ่านไปได้ด้วยดี พวกผมมาถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ KLIA2 (อาคารสำหรับสายการบินโลว์คอส) ก็เป็นเวลา 10.30 น. (มาเลเซียเวลาเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ระหว่างทางเราจะเจอบูทขายซิมโทรศัพท์ เพื่อนๆ สามารถซื้อจากที่นี่ได้เลย ส่วนพวกผมใช้โปรแกรม MAPS.ME ซึ่งเป็นโปรแกมแผนที่แบบออฟไลน์จึงไม่ได้ซื้อซิมครับ มาเลเซียเป็นประเทศที่ไม่ต้องเขียนใบเข้าออกประเทศ ดังนั้นเราแค่เตรียม Passport พร้อมกับยิ้มสยามให้กับเจ้าหน้าที่แค่นี้ก็ผ่านฉลุยแล้วครับ
เมื่อทำพิธีผ่าน ตม. เรียบร้อย ก็เป็นเวลา 11.00 น. พวกเรารีบเดินไปซื้อตั๋วรถแอร์พอร์ตบัสที่จะพาไปยังเกนติ้ง ระหว่างทางเราจะเจอร้านค้าปลอดภาษีเต็มไปหมดแต่ขอให้หักห้ามใจเอาไว้ซื้อตอนขากลับนะ ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ได้ตั๋วรถรอบ 11.30 น. มาเรียบร้อย ค่ารถคนละ 35 MYR ก่อนขึ้นรถอย่าลืมเตรียมขนมและน้ำไว้ทานรองท้องกันด้วยนะครับ เพราะว่ากว่าจะถึงเกนติ้งก็ 13.30 น. เดินทางรวดเดียวไม่มีพัก 2 ชั่วโมง และบนรถไม่มีห้องน้ำด้วยนะครับ
หลังจากหลับกันไปคนละตื่น รถแอร์พอร์ตบัสก็มาปล่อยตรงสถานีเคเบิ้ลคาร์ Awana Skyway พวกผมต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์ต่ออีกคนละ 8 MYR ระหว่างทางเราจะเห็นวิวมุมสูงที่เต็มไปด้วยหมอกของเกนติ้ง ประมาณครึ่งทางเคเบิ้ลคาร์จะเปิดให้เราลงที่วัด Chin Swee ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่พวกผมตั้งใจจะแวะในวันพรุ่งนี้จึงนั่งยาวต่อไปเลย การเดินทางบนเคเบิ้ลคาร์ใช้เวลาทั้งหมด 20 นาที อ่าส์…ฟิน
การมาเกนติ้งครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อมารับอากาศเย็นและไปชมวัด Chin Swee แค่นี้เลยจริงๆ ใครทีจะมาเพื่อสวนสนุกธีมพาร์คขอให้ดูรูปด้านบนไว้นะครับ เพราะต้องใช้เวลาก่อสร้างอีกนานถึงจะเสร็จ ฮ่าๆๆ เมื่อถึง Sky Avenue ก็ไปจัดมื้อเที่ยงที่ Malaysian Food Street ขอบอกว่าอาหารที่นี่ราคาเริ่มต้นจานละ 21 MYR ซึ่งแพงมากและรสชาติก็ไม่ได้โดดเด่น (แนะนำให้ไปทานที่ Hotel Resort เพราะราคาเริ่มต้น 11 MYR เอง)
เมื่ออิ่มแล้วก็เดินกันไป First World Hotel ขณะนี้ 15.00 น. ได้เวลาเช็คอินพอดี ที่โรงแรมมีจุดเด่นคือการเช็คอินด้วยตัวเอง อย่างของผมจองผ่าน Booking.com ก็เพียงหาตู้สำหรับคนที่จองออนไลน์ จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยตรวจใบ Hotel Voucher และกรอกข้อมูลให้ก่อน หลังจากนั้นเราก็ไปเช็คอินผ่านตู้ Kiosk เองได้เลย การเช็คอินก็ง่ายๆ กดเลือกภาษาอังกฤษแล้วสแกนหน้า Passport ผู้เข้าพัก อยากได้คีย์การ์ดกี่ใบ (สูงสุด 2 ใบ) ก็ให้เอา Passport ผู้เข้าพักอีกคนมาสแกน ดังนั้นทั้งหมดที่เราจะได้คือคีย์การ์ดและใบแสดงรายละเอียดห้องพัก (รหัสผ่าน Wifi จะได้เฉพาะคนที่จองห้องแบบมี Wifi)
จากนั้นก็ดูให้ดีว่าเราอยู่ Tower ไหน ชั้นอะไร ห้องเลขที่เท่าไหร่ แล้วก็ตรงไปยังห้องพักกันเลย พวกผมจองกันมา 2 ห้อง พักห้องละ 3 คน แบ่งเป็นชาย 3 คน หญิง 3 คน รวม Wifi อันนี้สำคัญเพราะเราไม่มี 4G ไว้ติดต่อกันเลย หลังจากเก็บกระเป๋าที่ห้องเรียบร้อยก็เป็นเวลาออกไปเดินเที่ยวกันแล้วครับ
เป้าหมายของพวกเราคือการออกจาก Avenue Skyway เพื่อไปรับไอเย็นด้านนอกอาคาร การหาทางออกเป็นอะไรที่ยากมากเพราะว่าหลายจุดถูกปิดเอาไว้เนื่องจากการก่อสร้าง แต่เราก็หาทางออกไปทางโรงแรม Maxim จนได้ ขณะเดินก็สำรวจแหล่งของกินไปด้วยจนมาเจอร้าน 168 Store ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกราคาไม่แพง และใกล้ๆ กันยังมี Food court ด้วย ราคาเริ่มต้น 11 MYR เองครับ พิกัดอยู่ที่ชั้น 1 ของ Hotel Resort
ออกมาได้ก็ได้เจอกับไอหมอกที่วิ่งไหลไปมารอบตัวพวกเรา อ่าส์… สดชื่นจริงๆ ถ่ายรูปเล่นกันไปเท่าไหร่ไม่รู้ จนอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ความมืดเริ่มมาแทนที่ ความหิวเริ่มมาเยือน จึงตัดสินใจเดินกลับไปที่ Hotel Resort แต่ระหว่างทางเจอร้านข้าวแกงใต้สถานีตำรวจ กลิ่นหอมยั่วยวนจนได้ไก่ทอดกับแกงไก่ราดข้าวมาในราคา 9 MYR ฮ่าๆๆ เมื่ออิ่มแล้วก็ย้อนกลับไปซื้อของที่ร้าน 168 Store เพื่อเอาไปเป็นเสบียงต่อ ได้เจออากาศเย็นสมใจและยังได้ซ้อมเดินขึ้นเขาที่เกนติ้งก่อนไปปีนภูเขาไฟของจริง ฮ่าๆๆ
เช้าวันใหม่มาพร้อมทะเลหมอกที่จับตัวกันเป็นปุยนิ่งสงบ ท้องฟ้าสดใสผิดกับเมื่อวาน พวกเราเช็คเอาท์โดยการหย่อนคีย์การ์ดคืนที่ตู้อัตโนมัติ จากนั้นก็ตรงไปที่จุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ Awana Skyway พวกผมได้ลองซื้อตั๋วผ่านตู้ Kiosk ซึ่งมันเป็นอะไรที่ใช้งานง่ายมาก เอาล่ะ.. เดี๋ยวเราจะนั่งเคเบิ้ลคาร์ไปแวะที่วัดจีน Chin Swee กันครับ
วัดชินสวี (Chin Swee Temple)
เป็นวัดจีนที่มีสวยงามมากตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางทางไปเกนติ้ง เราจะเห็นเจดีย์สูงเด่นตระหง่านขณะที่นั่งเคเบิ้ลคาร์ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งเคเบิ้ลคาร์ของ Awana Skyway เราจะสามารถแวะชมความงดงามของวัด Chin Swee ได้โดยไม่เสียค่าเข้าออกจากสถานีเพิ่ม และยังสะดวกสบายเพราะมีบันไดเลื่อนพาลงไปยังพื้นที่ของวัดด้วยครับ
ที่สถานีวัด Chin Swee ไม่มีที่ฝากกระเป๋า พวกผมจึงต้องแบกไปด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะมีบันไดเลื่อนพาขึ้นลงระหว่างวัดกับสถานีเคเบิ้ลคาร์ทำให้ทุ่นแรงไปได้มาก และตอนขากลับให้เราใช้ตั๋วเคเบิ้ลคาร์ใบเดิมสแกนก่อนเข้าสถานีอีกครั้ง เจ้าหน้าที่จะถามว่าเราจะขึ้นไปบนเกนติ้งหรือจะลงไปข้างล่างแล้วชี้ทางให้เรา
ลงจากเคเบิ้ลคาร์ก็รีบไปซื้อตั๋วรถบัสไป KL Sentral ปรากฏว่าเต็มยัน 13.30 น. พวกผมไม่อยากรอตั้ง 3 ชั่วโมง ก็เลยซื้อตั๋วไป Padu Sentral แทน เนื่องจากยังมีที่นั่งว่างรอบ 11.30 น. (ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่และ MAPS.ME ที่ทำให้เราตัดสินใจไป Padu Sentral เนื่องจากอยู่ห่าง KL Sentral เพียง 2 สถานีรถไฟ)
พวกผมรอประมาณ 1 ชั่วโมง รถบัสก็มาถึง เป็นความโชคดีที่รถบัสไป Padu Sentral มาตรงเวลาไม่ดีเลย์ ที่ต้องลุ้นกันเพราะในมอนิเตอร์บอกว่าสายที่ไป KL Sentral ดีเลย์กระจาย นี่ถ้าเราฝืนไป KL Sentral จะต้องรอนานแค่ไหนละเนี่ย จากนั้นก็ต่อรถไฟไป KL Sentral เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักก่อนเป็นลำดับแรก แล้วต่อด้วยการนั่งรถไฟ KTM Komuter ไปสุดสายที่ถ้ำบาตู ขณะที่นั่ง KTM Komuter ฝนก็ตกกระหน่ำมาอย่างหนัก ดีที่ทุกคนเตรียมเสื้อกันฝนที่จะเอาไปใช้ที่อินโดนีเซียมาด้วย ให้มันได้อย่างนี้สิดูทุกอย่างราบรื่นลงตัวจังเลย
ถ้ำบาตู (Batu Caves)
ถ้ำหินปูนขนาดมหึมา บริเวณหน้าปากถ้ำจะมีรูปปั้นของเทพฮินดูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ โดยเราจะต้องเดินขึ้นบันได 272 ขั้น เพื่อเข้าไปชมภายในถ้ำ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศานาฮินดู
จากนั้นพวกผมก็นั่งรถไฟ KTM Komuter กลับมายัง KL Sentral แล้วต่อรถไฟสายสีแดงไปยังสถานี KLCC แล้วเราก็จะพบกับน้ำพุเต้นระบำ และตึกแฝดปิโตรนาส
น้ำพุเต้นระบำ (Lake Symphony)
ในยามค่ำคืนเราสามารถมาชมน้ำพุเต้นระบำประกอบแสงสีเสียงบริเวณ KLCC Shopping Centre ได้ จุดนี้เราจะมองเห็นตึกแฝด Pretronas อันมีชื่อเสียงของมาเลเซียได้ด้วย
ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower)
ตึกแฝดปิโตรนาส ได้แรงบันดาลใจในการสร้างจากสถาปัตยกรรมรูปทรงเรขาคณิต มีทั้งหมด 88 ชั้น เป็นตึกคู่ที่สูงที่สุดในโลก มีสะพานเชื่อมระหว่าง 2 ตึก ที่ชั้น 41 และ 42 เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยจะต้องมารับตั๋วในตอนเช้า
เผลอแป๊บเดียวก็เป็นเวลา 22.00 น. แล้ว ต้องขอตัวไปพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางต่อที่สองไปยังประเทศอินโดนีเซีย ภารกิจปีนภูเขาไฟใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วสินะ
ติดตามตอนที่ 2 ต่อที่นี่ได้เลยครับ
ภารกิจปีนภูเขาไฟ ตอนที่ 2 – คาวาอีเจี้ยน โบรโม่
Facebook Comments