โอซาก้า หน้าร้อน ตอนที่ 2 – เมืองนารา เมืองโกเบ

ตื่นมาตั้งแต่ 6 โมง ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำเสร็จก็ตรวจแผนการเดินทางคร่าวๆ วันนี้เราจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองอื่นๆ บ้างอย่างนารา โดยใช้บัตร Kansai Thru Pass ที่ซื้อมาจากเมื่อวานนี่แหละ บัตรนี้จะเริ่มนับเวลาเมื่อสอดบัตรผ่านเข้าสถานีครั้งแรก เริ่มต้นจากสถานี Osaka Namba นั่งสายสีส้ม (Kintetsu Nara Line) ไปยังสถานี Kintetsu-Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. แล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึงวัดโทไดจิ บรรยากาศระหว่างทางจะเจอกวางเดินกันไปมาเต็มไปหมด นั่นแปลว่าเราเดินมาถูกทางแล้วครับ

OsakaNamba_Todaiji

การเดินทางจากสถานี Osaka Namba ไปยังสถานี Kintetsu-Nara

บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นมากๆ มีค่าเข้าชมด้านในวัดคนละ 500 เยน ภายในประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต หรือ ไดบุตสึ (Daibutsu) วัดนี้มีเอกลักษณ์ก็คือสร้างจากไม้ทั้งหมด เป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ และยังมีองค์หลวงพ่อโตสูง 15 เมตร ประดิษฐานอยู่ภายใน จุดเด่นอีกอย่างก็คือที่นี่จะมีเสาไม้อันใหญ่ที่มีรูให้ลอดโดยมีความเชื่อว่าถ้าใครลอดผ่านได้จะโชคดี

Image00009

หลวงพ่อโตแห่งเมืองนารา หรือ ไดบุตสึ (Daibutsu of Nara)

ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือฝูงกวางนับร้อยตัวที่เดินเพ่นพ่านกันอย่างอิสระรอบๆ บริเวณวัด สามารถซื้อขนมให้กวางทานได้ตกห่อละ 150 เยน ใครที่คิดจะให้ขนมกวางโปรดเตรียมสกิลในการหลบหลีกไว้ให้พร้อมรับการโจมตี แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน ฮ่าๆ

Image00003

ฝูงกวางรอกินขนมเซนเบ้ (Senbei)

เมื่อเสร็จจากการไหว้พระแล้วพวกผมก็แวะไปเดินเล่นที่ Nara Park ซึ่งพวกผมเรียกว่าสวนกวางล่ะกันบรรยากาศสดชื่นเย็นสบายมากๆ ครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะเย็นสบายได้ในหน้าร้อนแบบนี้ จากนั้นก็ขึ้นรถไฟยิงยาวไปยังเมืองโกเบกันต่อเลย เมืองนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องเนื้อโกเบที่แสนอร่อย แบบว่ามันละลายในปากเลยนะ แต่ๆๆๆ พวกผมนะเหรอไม่มีใครทานเนื้อวัวกันสักคนเลยต้องตัดร้านเนื้อโกเบแสนอร่อยนี้ไป แล้วโกเบมีอะไรให้เที่ยวบ้างนะ ติดตามกันต่อได้เลยครับ จุดหมายของเราคือสถานี Rokko โดยเราจะนั่งสายสีส้ม (Kintetsu Nara Line) ไปถึงสถานี Kobe-Sannomiya และเปลี่ยนไปขึ้นสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kobe Line) ไปยังสถานี Rokko เป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนานที่สุดในทริปนี้แล้วครับเพราะนั่งรถไฟข้ามทีเดียว 3 เมืองเลย ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. ทีเดียว

KintetsuNara_Rokko

การเดินทางจากสถานี Kintetsu-Nara ไปยังสถานี Rokko

เมื่อถึงสถานี Rokko ตอนเดินออกจากสถานีจะมีป้ายบอกทางจะไปขึ้นรถบัสสาย 16 ใช้บัตร Kansai Thru Pass เสียบตอนขึ้นรถบัสได้เลย แล้วเราก็นั่งไปสุดสายที่ Rokko Cable Car จัดแจงซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ไปกลับ และรถบัสเหมาเที่ยวไม่จำกัด เบ็ดเสร็จ 1,350 เยน ต่อคน เพื่อขึ้นไปเที่ยวบริเวณภูเขารอคโค่ (Mr.Rokko) ด้านบน ตอนนี้พวกผมเริ่มหนาวแล้วครับ นี่มันหน้าร้อนไม่ใช่เหรอเนี่ย เสื้อผ้ายิ่งใส่แต่บางๆ อยู่ด้วยแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

Image00024

เคเบิ้ลคาร์ที่จะพาพวกผมขึ้นไปบนภูเขารอคโค (Mr.Rokko)

จากนั้นเราก็นั่งรถบัสเที่ยวได้เลย ที่แรกที่พวกผมไปกันก็คือ Rokko International Music Box มีค่าเข้า 1,320 เยนต่อคน แต่ใช้บัตรส่วนลดที่ได้มาพร้อมกับ Kansai Thru Pass เหลือจ่ายแค่ 820 เยนต่อคน ภายในพิพิธภัณฑ์มีกล่องดนตรีแปลกๆ หลายอย่างมาก สามารถประกอบกล่องดนตรีเองก็ได้ด้วย แถมยังมีการแสดงคอนเสิร์ตให้ชมอีกเป็นรอบๆ เรียกว่าก็เพลินดีเหมือนกัน

Image00032

Rokko International Music Box ขณะกำลังแสดงคอนเสิร์ต

ที่ต่อไปที่พวกผมไปชมก็คือ หอสังเกตการณ์ Rokko-Shidare Observatory ค่าเข้าชม 300 เยนต่อคน ใช้บัตรลดเหลือ 200 เยนต่อคน ข้างบนนี้เป็นจุดชมวิวอีกจุดนึง ก็สวยดีนะหรือจะว่าแปลกดีก็ได้ การเดินทางมาก็รอรถที่ป้ายรถบัสแล้วขึ้นไปนั่งได้เลย ที่ป้ายมีเวลาบอกด้วยว่ารถบัสจะมาถึงเมื่อไหร่ คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 นาที ญี่ปุ่นนี่ตรงเวลาจริงๆ

Image00035

หอสังเกตการณ์ Rokko-Shidare Observatory

จากนั้นก็ไปชมหมู่บ้าน Little Horti ต่อด้วยนั่งกระเช้าเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ รอให้ถึงเวลาเย็นแล้วเราจะได้ชมวิวเมืองโกเบยามค่ำคืนกัน แสงอาทิตย์ที่หายไปเรื่อยๆ สวนทางกับแสงไฟจากบ้านเรือนช่างสวยงามจริงๆ

Image00048

จุดชมวิวยอดเขา Rokko

ขากลับพวกผมก็กลับทางเดิม นั่งเคเบิ้ลคาร์ ต่อรถบัสสาย 16 นั่งรถไฟจากสถานี Rokko ไปลงสถานี Osaka-Namba แล้วก็ไปเดินโดทงโบริต่อ ช้อปปิ้งกันได้ทุกวันไม่มีเบื่อจริงๆ

ติดตามตอนที่ 3 ต่อกันได้เลยครับ
โอซาก้า หน้าร้อน ตอนที่ 3 – เมืองเกียวโต

อัลบั้มรูป

Facebook Comments

You may also like...

3 Shares
Share3
Tweet
Pin