ตามล่าใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ 1 – เมืองโอซาก้า
สมาชิกทั้งหมดเดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 21.30 น. และวันนี้วันศุกร์คนที่สนามบินจึงเยอะพอสมควร ผมรีบไปรับ Pocket wifi แล้วก็พากันไปเคาน์เตอร์โหลดกระเป๋า มีเรื่องระทึกนิดหน่อยกับกระเป๋าที่เปิดไม่ออก ทำให้เคลียร์น้ำหนักไม่ได้ ก็แก้ไขกันสักพักจนต้องใช้ความรุนแรงถึงเปิดได้ ฮ่าๆ จากนั้นก็ทำพิธีผ่าน ตม. โดยทุกอย่างผ่านไปได้เรียบร้อยดี
หลับไปสองตื่นแอร์เอเชียก็พาร่อนลงสู่สนามบินนาริตะ พวกผมทำพิธีผ่าน ตม. รับกระเป๋า และเดินไปยัง JR Office เพื่อขอออกบัตรโดยสาร JR Pass โดยบัตรนี้เป็นบัตรเบ่งที่จะใช้นั่งรถไฟของ JR ขบวนไหนก็ได้รวมไปถึงชินคันเซ็นตลอด 7 วัน
กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ 9.00 น. พวกผมซื้ออาหารกล่องหรือเบนโตะแล้วขึ้นรถไฟ Narita Express จากสนามบินนาริตะไปยังสถานี Shinagawa ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งชมวิวทานอาหารเช้ากันบนรถไฟอย่างเอร็ดอร่อย แต่วิวข้างทางก็มีแต่เม็ดฝนที่กระหน่ำตกอย่างหนัก โชคดีอยู่บ้างที่ตลอดเวลาที่ฝนตกพวกผมใช้เวลาอยู่บนรถไฟตลอด
ตอนถึงสถานี Shinagawa มีเรื่องระทึกอีกแล้วเพราะมีสมาชิก 2 คนลงรถไฟไปก่อน แต่เพื่อนคนนึงดันปลดรหัสสายรัดที่คล้องกระเป๋าเดินทางไม่ได้ หมุนตามรหัสที่ตั้งไว้ก็เปิดไม่ออก รถไฟจอดแค่ 1 นาที ก็ปิดประตูทันที พวกผมก็ตกใจสิเพราะแยกกันเป็น 2 กลุ่มจนได้ แล้ว 2 คนที่ลงไปก็ไม่มี Pocket Wifi ด้วย สมาชิก 4 คนที่อยู่บนรถรวมทั้งผมก็ช่วยกันปลดรหัสที่คาดว่าจะเป็นไปได้จนสำเร็จ จากนั้นก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานี Shinagawa ส่วนสมาชิก 2 คนที่ลงไปก่อนหน้านี้ก็หา Free Wifi ติดต่อมายังกลุ่มผมได้ ถือว่าเอาตัวรอดกันเก่งทีเดียว แนะนำว่ากระเป๋าไม่ต้องล๊อคกับสายรัดเพราะเดี๋ยวจะเกิดปัญหาแบบพวกผม ฮ่าๆ
รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen)
ถึงหน้าจุดขายตั๋วรถไฟชินคันเซ็นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นบัตร JR Pass จอง 6 ที่นั่ง เดี๋ยวเราจะได้นั่งรถไฟชินคันเซ็นจากสถานี Shinagawa ไปยังสถานี Shin-Osaka ยิงยาว 3 ชั่วโมง ห้ามลืมซื้อข้าวกล่องมาด้วยนะครับ เพราะกว่าจะไปถึงโอซาก้าเดี๋ยวจะเป็นลม พวกผมมาถึง Shin-Osaka เวลา 14.30 น. ต่อรถไฟอีก 2 ขบวนมายังสถานี Imamiya เดินออกจากสถานีมาก็พบว่าที่นี่ฝนไม่ตกถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี จากนั้นก็เดินไปยังที่พักของเราที่จองจาก AirBNB ห้องพักกว้างมาก มี 3 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก และ 1 ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เมื่อทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา และเคลียร์กระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ห้องเรียบร้อย ก็พร้อมไปลุยยามค่ำคืนที่คลองโดทงบอริพร้อมกับหามื้อเย็นทานกัน พวกผมตั้งพิกัดไปที่ร้านซูชิซันไม นี่แหละคือมื้อเย็นของพวกเรา
ซูชิที่นี่สดและอร่อยมาก ที่ประทับใจอีกอย่างคือ ทางร้านมีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ add เป็นเพื่อนทาง Line ของร้านอาหาร ทำให้ได้ซูชิมาทานฟรีกันคนละ 1 ชิ้น หลังจากอิ่มอร่อยกันเรียบร้อย ก็มีแรงเดินถ่ายรูปเล่นต่อ ป่ะ.. เราไปเยี่ยมคุณลุงกูลิโกะกันดีกว่า
คลองโดทงบอริ (Dotonbori)
หลังจากเดินถ่ายรูปเล่นจนจุใจพวกผมก็กลับที่พัก เก็บแรงไว้สำหรับเที่ยววันพรุ่งนี้ ระหว่างทางกลับนี่แวะกันตลอดโดยเฉพาะร้านแฟมิลี่มาร์ทซึ่งมีสาขาเยอะมาก ของตามชั้นวางที่เราไม่เคยเห็นก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด พวกผมเลยได้ข้าวกล่องสำหรับมื้อเช้ามาด้วยเลย
ตื่นเช้ามาก็ทยอยไปอาบน้ำ บางคนก็ช่วยกันเตรียมอาหาร มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวกล่องที่อร่อยมากแถมหน้าตาดีซะด้วย ทานกันเกลี้ยงไม่เหลือเลยจริงๆ เอาล่ะ… เราจะไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีกันที่อุทยานมิโนห์ ปราสาทโอซาก้า และปิดท้ายด้วยการไปชมอควาเรียมไคยูคังกันครับ
ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 1 – อุทยานมิโนห์ (Minoh Park)
อุทยานมิโนห์ เป็นอุทยานที่ติดอันดับสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซ เรียกว่าไม่ธรรมดา และการเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะผมต้องขึ้นรถไฟ JR แล้วมาต่อรถไฟสาย Hankyu ไปยังสถานี Minoo จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาต่ออีก 3 กิโลเมตร ตามเส้นทางชมธรรมชาติไปสุดที่น้ำตกมิโนห์ โดยระหว่างทางเดินเราจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีกันเต็มที่เลยทีเดียว เอาล่ะ.. มาชมกันดีกว่าครับ
ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 2 – ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
ใครก็ตามที่มาเมืองโอซาก้าต้องไม่พลาดมาชมปราสาทโอซาก้า เพราะที่นี่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญประจำเมืองเลยนะครับ การเดินทางก็ไม่ยากสามารถนั่ง Osaka Loop Line ไปลงสถานี Osakajokoen ก็ถึงแล้ว ตัวปราสาทมีทั้งหมด 8 ชั้น มีคูน้ำและกำแพงหินล้อมรอบ ภายในมีสวนนิชิโนมารุซึ่งปลูกต้นแปะก๊วยและเมเปิ้ลอยู่พอสมควร มาชมกันดีกว่าครับ
อควาเรียมไคยูคัง (Aquarium Kaiyukan)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ มีทั้งหมด 8 ชั้น มีสัตว์น้ำให้ชมมากถึง 580 ชนิด หรือ 30,000 กว่าตัว พระเอกของที่นี่คือฉลามวาฬขนาดใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในแทงค์น้ำขนาดยักษ์ที่จุน้ำได้ถึง 5,400 ตัน มีความลึก 9 เมตร พวกผมใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ออกมาจากอควาเรียมก็ปาเข้าไป 19.00 น. แล้ว พวกผมพุ่งเป้าไปที่ร้านบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง แต่ระทึกอีกแล้วเพราะเดินหาร้านตามพิกัดที่ตั้งไว้ไม่เจอ หิวก็หิว ฮ่าๆ จนในที่สุดก็มาเจอร้านนึง ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์แต่ก็ตัดสินใจเข้าไปเลยไม่ต้องคิดอะไรล่ะ หิวจนไส้จะขาดแล้ว
เมื่ออิ่มท้องเรียบร้อยก็มีแรงพยุงตัวกลับที่พักกันแล้ว ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารกล่องของแฟมิลี่มาร์ทกลับไปเป็นมื้อเช้าด้วย รู้สึกว่าทุกคนจะติดใจกับความอร่อยและความง่ายของอาหารเช้าแบบนี้ไปซะแล้ว
ติดตามตอนที่ 2 ต่อที่นี่ ได้เลยครับ
ตามล่าใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ 2 – เมืองเกียวโต
Facebook Comments