ตะลุยเที่ยวเมืองตรัง ในวันที่ฝนตก
มาตรังครั้งแรกก็คราวนี้ล่ะ หลายๆ ที่ที่ไปก็เพราะมีเพื่อนชวน ทริปนี้ก็เช่นกันแค่เพื่อนอาสาเป็นคนขับรถพาเที่ยว เราก็ใจง่ายจองตั๋วทันที ฮ่าๆๆ รอบนี้ไม่เน้นออกเกาะเพราะมาหน้าฝน ก็ดี.. จะสำรวจเมืองตรังให้ทั่วเลย
แพลนทริป
วันที่ 1 บินไปสนามบินตรัง / สวนสาธารณะพระยารัษฎาฯ / คนถนนคนเดิน / น้ำพุพยูน / หอนาฬิกา
วันที่ 2 นั่งรถไฟไปกันตัง / สถานีรถไฟกันตัง / บ้านพระยารัษฎาฯ / สวนสาธารณะควนตำหนักจันทน์
วันที่ 3 นั่งเรือไปเกาะมุก / เที่ยวเกาะมุก / อาหารทะเลสดๆ
วันที่ 4 นั่งเรือกลับท่าเรือควนตุ้งกู / ถ้ำเขาช้างหาย / สวนทับเที่ยง / บินกลับสนามบินดอนเมือง
เอาล่ะ.. ออกเดินทางกันเลย ฮาโหลๆ เพื่อน จะบินล่ะอีก 1 ชั่วโมงเจอกันที่สนามบินตรังนะ รอรับโทรศัพท์ด้วย ไวปานโกหกก็มาถึงเพื่อนมาพร้อมกับปิคอัพคันกะทัดรัดพาผมไปเช็คอินที่โฮสเทล เช็คอินเรียบร้อยก็ออกไปเที่ยวชมแสงไฟยามค่ำคืนกัน ที่แรกคือสวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี มาไหว้พระยารัษฎาฯ เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนครับ บริเวณสวนสาธารณะอากาศดีมาก มีแสงไฟส่องสว่างทั่วทำให้ไม่น่ากลัว ต้องบอกว่าพระยารัษฎาฯ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และเป็นที่เคารพนับถือของคนจังหวัดตรังอย่างมากเลยครับ จะเห็นได้ว่าเราจะเจอรูปปั้น ภาพวาด หรือภาพถ่ายของท่านทั่วไปหมด เพราะท่านทำคุณประโยชน์ และนำความเจริญมาให้ทางฝั่งอันดามันและจังหวัดตรังนี้อย่างมากมายเลยครับ
จากนั้นก็แวะไปทานหมี่ฮกเกี้ยนอันขึ้นชื่อของเมืองตรังครับ ร้านที่เพื่อนแนะนำก็คือ ร้านฉิวดำ ซึ่งเป็นต้นตำหรับแท้จากชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนเลยนะครับ แนะนำให้ลองมาทานกันครับรสชาติดี ผมนี่กินเกลี้ยงไม่เหลือ
เมื่อท้องอิ่มก็แวะไปเดินชมถนนคนเดินแถวสถานีรถไฟตรัง ตลอดทางจะเจอเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของเล่น อาหาร เครื่องดื่ม ระยะทางประมาณ 400 เมตรได้ครับ
เมื่อเดินเล่นกันพอสมควรก็ไปต่อกันที่น้ำพุพยูน และหอนาฬิกาครับ น้ำพุพยูนถือเป็นจุดเด่นของเมืองตรังเลยนะครับ เรียกว่าไม่มีที่ไหนเหมือน ก็เลยขอเก็บภาพมาไว้ซะด้วยเลย
เป็นเวลาพอสมควรก็กลับไปที่พักนกฮูกเฮาส์ เป็นโฮสเทลราคาประหยัดพักได้ 4 คนต่อห้อง แต่ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าฝนทำให้ที่พักนี้ว่างมากๆ แต่ผมก็ยังมีเพื่อนร่วมห้องเป็นคนเกาหลีหนึ่งคนที่นิสัยดีมากครับ ผมอาศัยนอนกับชาร์จแบตมือถือแค่นั้น ตอนเช้าทางที่พักก็มีอาหารเช้าแบบบริการตนเอง ดังนั้นมื้อนี้ผมจึงจัดไข่เจียวและขนมปังปิ้งมานั่งทานชิลๆ พร้อมกับชาและโกโก้ กินไปฝนก็ตกไป อากาศเย็นสบาย จนกระทั่งสายๆ หน่อย เพื่อนก็มารับไปปล่อยที่สถานีรถไฟตรัง วันนี้ผมจะนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟตรังไปเที่ยวที่กันตัง เพื่อนตัวดีดันมีธุระทำให้ 2 วันแรกไม่ได้พาผมไปเที่ยว แต่อย่างน้อยก็ยังอาสามาส่งไปปล่อยตามจุดต่างๆ ฮ่าๆๆ ดีจริงๆ เมื่อเรียบร้อยก็ บ้าย บาย.. แล้วก็จัดแจงซื้อตั๋วรถไฟ 5 บาท นั่งรอเวลากันไป (รถไฟมาสถานีกันตัง และกลับไปกรุงเทพฯ มีเพียง 1 เที่ยว ดังนั้นใครแพลนมากันตังแล้วต้องนั่งรถไฟกลับ อย่าลืมเช็คเวลาให้ดีนะครับ)
ถึงแล้วสถานีรถไฟกันตัง ที่นี่เป็นสถานีรถไฟที่สวยงามมาก ลักษณะเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทาสีเหลืองสลับน้ำตาล คงสภาพเดิมไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอีกด้วยครับ จุดเด่นของสถานีนี้อีกอย่างก็คือเป็นสถานีสุดท้ายทางฝั่งอันดามัน เรียกว่าเป็นไฮไลท์ที่ใครมาก็อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ผมจะไปต่อที่พิพิธภัณฑ์พระยารัษฏานุประดิษฐ์มหิศรภักดี หรือจวนเก่าของเจ้าเมืองตรัง ลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ภายในมีรูปปั้นพระยารัษฎาฯ และข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ที่พยายามคงสภาพเดิมให้เราได้ชมกัน ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 16.30 น. เนื่องจากผมไม่ต้องรอขึ้นรถไฟกลับเพราะผมจะไปนอนที่ปากเมง ดังนั้นผมจึงเลือกเดินเที่ยวในกันตังแทนครับ ส่วนใครที่เวลาน้อยแนะนำว่าให้ติดต่อมอเตอร์ไซต์รับจ้างนะครับ เพราะจะทำเวลาได้ดีกว่า
จากนั้นผมก็เดินต่อไปยังต้นยางพาราต้นแรกของประเทศไทย เดินไปเดินมาก็ยังหาไม่เจอ เหลือบไปเห็นวัดตรังคภูมิพุทธาวาสสวยดี อ่ะขอเข้าไปไหว้พระทำบุญสักหน่อยล่ะกัน
พอไหว้พระทำบุญเสร็จเท่านั้นล่ะ เดินออกมาจากวัดเจอป้ายบอกทางเลยว่า ต้นยางพาราต้นแรกของประเทศไทยอยู่ฝั่งตรงข้ามข้างหน้านี่เอง นี่ผมเดินเลยมาสัก 100 เมตรได้ ต้นยางพาราต้นแรกนี้ถูกนำมาปลูกโดยพระยารัษฎาฯ ในปี พ.ศ. 2442 เราจะเห็นว่าท่านเป็นผู้ทรงมองการณ์ไกลในหลายๆ เรื่องเลยทีเดียว
จากนั้นเดินย้อนกลับไปต่อที่สวนสาธารณะควนตำหนักจันทน์ ซึ่งแต่เดิมที่นี่เป็นตำหนักหลังเล็กๆ บนเนินเขา ใช้ในการรับเสด็จรัชกาลที่ 6 ประพาสเมืองกันตัง ต่อมาในช่วงสงครามโลกอาคารต่างๆ ทรุดโทรมลงไปจึงได้ทำการรื้อถอนทั้งหมดเหลือไว้เพียงแค่ชื่อควนตำหนักจันทน์ ที่นี่มีจุดชมวิวเมืองกันตัง และยังมีอุโมงค์กองทัพญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ปรับปรุงทางเดินให้เราสามารถเข้าไปชมได้ด้วยครับ ส่วนสวนสาธารณะมีต้นไม้ขึ้นรกรุงรังมากจนผมมองว่าเป็นป่ามากกว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ใครที่เข้าไปชมก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ
เมื่อเดินเที่ยวกันตังครบทั้งหมด ผมก็ไปรอเพื่อนที่ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์เมืองกันตัง ด้านข้างมีตลาดแบบตั้งร้านชั่วคราวทำให้ผมมีของกินเล่นรอเวลา ใกล้ๆ ยังมีแพขยานยนต์ที่สามารถพารถยนต์ข้ามไปอีกฝั่งได้ด้วย ดีจริงๆ ไม่ต้องขับรถอ้อมไปข้ามสะพานไกลๆ ด้วยครับ
รอสักพักเพื่อนก็มารับ พวกผมตรงดิ่งไปที่ปากเมงเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ไปถึงก็เช็คอินที่พักนอนเอาแรงทันที เช้าวันรุ่งขึ้นพวกผมตื่นมาก็พบว่าฝนตกกระหน่ำเลย วันนี้จะได้ออกไปเกาะไหมเนี่ย ลุ้นๆ จะอะไรก็แล้วแต่ใกล้ๆ เวลา 10.00 น. ฝนก็หยุดตก พวกผมเลยรีบเช็คเอาท์แล้วตรงดิ่งไปที่ท่าเรือควนตุ้งกู สามารถจอดรถที่ท่าเรือได้เลยนะครับ ที่ท่าเรือนี้จะมีเรือเมล์มารับตอน 12.00 น. เรามาทันเรือออกพอดี เอาล่ะ..เดินทางไปเกาะมุกกันครับ
การเดินทางโดยเรือเมล์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสารคนละ 20 บาท เรือเมล์จะมีวันละ 1 เที่ยว ออกจากท่าเรือควนตุ้งกู เวลาประมาณ 12.00 น. และออกจากเกาะมุกเวลา 8.00 น. ดังนั้นแพลนเวลากันให้ดีนะครับ ไม่งั้นต้องเหมาเรือหางยาวแทนประมาณ 600 บาทต่อเที่ยว การมาเกาะมุกแนะนำว่าให้ค้างสัก 2 คืน ส่วนผมมาหน้าฝนจึงขอค้างแค่ 1 คืนพอครับ เรียกว่ามาสำรวจดีกว่าเพราะรู้อยู่แล้วว่าช่วงนี้ที่เกาะแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ ฝนตกบ่อยแบบนี้นอนอยู่รีสอร์ทอย่างเดียวดีกว่า ฮ่าๆ
แนะนำสำหรับเพื่อนๆ ที่มาในช่วงฟ้าใส แล้วอยากจะนั่งเรือเที่ยวตามเกาะต่างๆ แต่คิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหนได้บ้าง ให้ลองไปดูที่ เว็บใซต์ Phuket Ferry ได้เลยครับ
เมื่อถึงเกาะมุก พวกผมก็เหมามอไซต์พ่วงข้างหรือรถซาเล้งพาไปยังที่พักเกาะมุกการ์เด้นบีชรีสอร์ท ที่นี่มีแค่ผมกับเพื่อนจริงๆ ส่วนตัวมาก แต่ๆๆๆ เดี๋ยวนะ ครัวก็ปิดด้วยล่ะครับเพราะไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่ได้การล่ะเย็นนี้จะมีข้าวกินไหมเนี่ย โชคยังดีที่เจ้าของรีสอร์ทอาสาทำอาหารซีฟู้ดให้ทาน เพราะช่วงนี้จับปูได้เยอะ ยิ่งช่วงนี้เป็นหน้ามรสุม ปูจะเยอะ เนื้อจะแน่น และอร่อยเป็นพิเศษครับ พวกผมไม่รอช้ารีบนัดแนะเวลาทานข้าวแบบจัดเต็ม ปู 1 กิโลกรัม ข้าวผัดปู 2 จาน และปูผัดไข่เค็ม รอดแล้วมื้อนี้ ฮ่าๆ สบายใจแล้วพวกผมก็ไปเดินสำรวจเกาะมุกกันครับ
เดินเล่นกันรอบรีสอร์ทนี่แหละครับ กลัวฝนจะตกหนักแล้วกลับไม่ได้ ระหว่างทางเจอหมู่บ้านชาวประมงด้วยกำลังเก็บอวน ลากเรือเข้าฝั่ง บ้างก็กำลังทำอาหารกันอยู่เลย ผมเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากครับ อยู่เดินเล่นสักพักก็กลับมาอาบน้ำ รอเวลาทานอาหารเย็น
โอ้โห… อาหารมื้อนี้หน้าตาดูดีมาก รสชาติอร่อยมากๆ ด้วย เนื้อปูนี่แน่นและหวาน น้ำจิ้มซีฟู้ดก็รสเด็ดอีก เป็นมื้อที่ฟินและคุ้มที่สุดแล้วในทริปนี้ พวกผมจัดการอาหารตรงหน้ากันเกลี้ยงเลย เสร็จแล้วก็ไปเก็บข้าวของเตรียมแพ็คกระเป๋า พรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะได้ไปให้ทันเรือตอน 8.00 น. นัดแนะกับรถมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างเมื่อวานไว้แล้ว สบายๆ
ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแต่งตัว พี่คนขับมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างมารอเราอยู่แล้ว ก็จัดการเช็คเอาท์แล้วไปท่าเรือกันเลย ใช้เวลากลับประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงท่าเรือควนตุ้งกู เอาของโยนขึ้นรถแล้วขับกลับไปยังเมืองตรังเพื่อหาอะไรกินเป็นอันดับแรก เมื่ออิ่มเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่ ถ้ำเขาช้างหาย และเนื่องจากเรามาหน้าฝน ฮ่าๆ เหตุผลนี้อีกแล้ว เจ้าหน้าที่หรือคนดูแลถ้ำไม่มีเลย คือเห็นว่าในถ้ำมีการเดินสายไฟไว้นะ พยายามเปิดแล้วแต่ไม่ติด แล้วเราก็ไม่ได้เตรียมไฟฉายมาด้วย อารมณ์อยากเข้าไปดูก็อยาก เอาล่ะ… อาศัยแฟลชโทรศัพท์มือถือนี่แหละ แล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำกันสองคน แหม.. ช่างกล้าจริงๆ ประวัติของถ้ำนี้สืบเนื่องมาจากมีขบวนช้างของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชบังเอิญผ่านที่เขาลูกนี้ แล้วแม่ช้างเชือกนึงคลอดลูกพอดีจึงทำให้ขบวนต้องหยุดพัก เมื่อลูกช้างยืนเดินแข็งก็วิ่งเล่นซุกซนจนเข้าไปในถ้ำ ควาญช้างจุดไต้เดินเข้าไปหาก็หาไม่พบ จึงกลายเป็นที่มาของชื่อว่าถ้ำเขาช้างหาย ลักษณะภายในถ้ำมีโถงถ้ำ 6 ห้อง มีหินงอกหินย้อยเต็มไปหมด พวกผมเดินเข้าไปประมาณ 400 เมตร แค่เจอรอยเท้าช้างก็ออกมา เพราะมันมืดมากจริงๆ
เมื่อเสร็จแล้วก็กลับไปเมืองตรัง อากาศตอนนี้เย็นดีจริงๆ ผมเลยเสนอว่าไปหาอะไรร้อนๆ ทานกันดีกว่า เพื่อนก็แนะนำว่างั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟรสเด็ด ร้านเขี้ยงชวนชิม ว่าแล้วก็ไปจัดเย็นตาโฟกันครับ
เสร็จแล้วก็กลับไปบ้านเพื่อน ผมแอบเห็นว่ามีสวนอยู่ใกล้ๆ ด้วย จึงออกไปเดินเล่นรอเวลาที่จะไปสนามบิน ในสวนนี้มีจัดบอร์ดนิทรรศการทำให้ผมทราบประวัติความเป็นมาว่าแต่ก่อนศูนย์การปกครองอยู่ที่เมืองกันตัง แต่เนื่องด้วยเมืองทับเที่ยงมีชัยภูมิที่อยู่จุดศูนย์กลาง และยังเป็นย่านการค้าขาย เรียกว่าทำเลดีเหมาะแก่การปกครอง จึงย้ายเมืองจากกันตังมายังทับเที่ยง และได้ตั้งเป็นเมืองตรังในปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกิน 100 ปีแล้วที่มีการย้ายเมือง โอ้โห.. ที่นี่ช่างมีประวัติที่น่าประทับใจจริงๆ
และแล้วก็ถึงเวลา เพื่อนมาส่งที่สนามบินตรังเรียบร้อย บ้ายบายนะเพื่อน ขอบใจมากๆ ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าเราจะไปนอนเกาะรอกกันนะ ขอจบทริปตรังหน้าฝนไว้แค่นี้ แล้วแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวด้วยกันใหม่นะคร้าบ
ค่าใช้จ่าย
- ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง-ตรัง 200 บาท/คน
- ที่พัก 3 คืน 710 บาท/คน
- ค่ารถไฟ จากสถานีตรัง ไปสถานีกันตัง 5 บาท/คน
- เรือเมล์ไปกลับท่าเรือ ควนตุ้งกู-เกาะมุก 40 บาท/คน
- มอเตอร์ไซต์พ่วงข้างไปกลับ ท่าเรือ-รีสอร์ท 100 บาท/คน
- ค่าน้ำมันรถ 300 บาท
- ค่าอาหาร 8 มื้อ ทั้งหมด 1,280 บาท ตกคนละ 640 บาท
รวมทั้งหมด 1,995 บาท/คน
Facebook Comments