ภารกิจปีนภูเขาไฟ ตอนที่ 2 – คาวาอีเจี้ยน โบรโม่
วันนี้แพลนของเราคือการทำตัวให้สบายที่สุด กินให้อิ่ม นอนให้หลับ ชาร์จโทรศัพท์และ Power Bank ให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็เช็คเอาท์ แล้วตั้งพิกัดไปที่ KL Sentral เพื่อซื้อตั๋วรถบัสไปสนามบิน KLIA2 พวกผมได้ตั๋วรอบ 11.20 น. ก็เลยไปหาข้าวกลางวันทานกันก่อนขึ้นรถ รถบัสใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 10 นาที ราคา 12 MYR เวลาคาบเกี่ยวกับช่วงเที่ยงอีกแล้ว ดังนั้นเตรียมตัวเรื่องเวลาทานอาหารให้ดีนะครับ ไม่งั้นจะหิวจนเที่ยวไม่สนุกไปเลย
จากกัวลาลัมเปอร์ เราถูกแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป เนื่องจากมีสมาชิกมาเพิ่มทีหลัง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะเที่ยวบินห่างกันแค่ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ส่วนอาหารเย็นเรากินบนเครื่องเลยเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทุกคนมาถึงสนามบินจูอันดาเวลา 18.00 น. (ปรับเวลากลับมาใช้เหมือนไทยได้เลย เพราะอินโดนีเซียอยู่เขตเวลาเดียวกันกับเรา) ในที่สุดก็ได้เจอหว่าหวาและคนขับรถที่ Arif ส่งมาดูแลพวกเรา รถตู้คันใหญ่ 9 ที่นั่ง สบายเลยสำหรับคน 6 คนและกระเป๋าเป้อีก 7 ใบ แถมยังมี Free Wifi ให้ใช้ด้วยนี่มันรถไฮเทคชัดๆ อันดับแรกเราจะให้หว่าหวาพาไปขอใบรับรองสุขภาพเพื่อใช้ในการปีนภูเขาไฟเซเมรุก่อน ขอบอกว่าคุณหมอไม่ได้ตรวจอะไรเลย แค่มองหน้าก็ได้ใบรับรองสุขภาพแล้ว ฮ่าๆๆ จากนั้นก็ไปหาซื้อซิม 4G กันต่อ พวกเราได้ซิมของ simPATI สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ 2 GB ราคา 45,000 IDR ก็เลยจัดกันไปคนละซิม จากนั้นแวะซื้อเสบียงกันอีกเล็กน้อย แล้วก็เคลียร์มัดจำก้อนแรก 5,000,000 IDR ก็เป็นอันพร้อมสำหรับการเดินทางไปคาวาอีเจี้ยนแล้ว
ขณะนี้เวลา 20.00 น. แล้ว หว่าหวาบอกว่าเราต้องใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง แปลว่าเราจะไปถึงที่คาวาอีเจี้ยนตอนตี 3 และจะมีเวลาเหลือแค่ 2 ชั่วโมงในการเดินไปดูบลูเฟมก่อนฟ้าสว่าง หลังจากนี้เป็นไงไม่รู้แล้วเพราะคนขับซิ่งมากจนผมขอหลับลึกหนีดีกว่า ฮ่าๆๆ ในที่สุดเราก็มาถึงคาวาอีเจี้ยนในเวลาตี 2 ใช่ครับฟังไม่ผิด ตี 2 จริงๆ นี่คนขับซิ่งขนาดไหนจนเรามาถึงก่อนกำหนด 1 ชั่วโมง ลงจากรถก็เจออากาศหนาวประมาณ 4-5 องศา ปะทะเข้าทั่วร่างกาย เรียกว่าหนาวทะลุเสื้อผ้ากันเลยทีเดียว ผมนี่ต้องรีบขุดเสื้อแจ็คเก็ตและใส่เสื้อเพิ่มรวมทั้งหมด 3 ชั้นถึงเอาอยู่ ระหว่างที่กำลังวุ่นกับการเตรียมไฟฉาย น้ำดื่ม และเสื้อผ้า หว่าหวาก็ทำเรื่องเข้าสถานที่และติดต่อไกด์ให้เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะไปปีนภูเขาไฟเรามาดูกันสิว่า แพ็คเกจทัวร์ที่คุยกับ Arif ไว้มีอะไรบ้าง
- รถตู้ 9 ที่นั่ง พร้อมคนขับ รวมน้ำมันและค่าที่จอดรถ สำหรับ 3 วัน
- รถจิ๊บพร้อมคนขับพาเที่ยวจุดชมวิว Penanjakan, ปากปล่องโบรโม่ และทุ่งหญ้าสะวันน่า
- รถจิ๊บรับส่งระหว่างหมู่บ้าน Cemoro Lawang กับหมู่บ้าน Ranu Pane
- ค่าเข้าสถานที่ โบรโม่ คาวาอีเจี้ยน และน้ำตกมาดาคาริปุระ สำหรับ 6 คน
- ค่าไกด์ท้องถิ่นที่คาวาอีเจี้ยน และน้ำตกมาดาคาริปุระ
- ค่ามอเตอร์ไซต์รับส่งที่น้ำตกมาคาคาริปะรุ สำหรับ 6 คน
- ค่าหน้ากากกันแก๊สพิษที่คาวาอีเจี้ยน สำหรับ 6 คน
ทั้งหมด 10,000,000 IDR ค่าแพ็คเกจทัวร์สิบล้าน ฮ่าๆๆ หรือ 26,500 บาท ตกคนละ 4,417 บาท ไม่รวมค่าที่พักและค่าอาหาร
การเดินทางไปชมบลูเฟมต้องเดินขึ้นเขาท่ามกลางความมืดเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร เพื่อพิชิตปากปล่อง และต้องเดินอีก 800 เมตร เพื่อลงไปชมบลูเฟมอย่างใกล้ชิด พวกผมเลือกไปแค่ที่ปากปล่องเพราะสังเกตุการฟุ้งตัวของควันพิษแล้วก็ไม่อยากให้ใครลงไปเสี่ยง ในที่สุดเราก็มาถึงปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนตอน 5.00 น. ได้เห็นบลูเฟมกันสมใจแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ฟ้าสว่างเราก็จะได้เห็นทะเลสาบสีฟ้าหรือบลูเลคด้วย ตามไปชมกันเลยครับ
ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน (Mt.Kawah Ijen)
ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนมีความสูง 2,380 เมตร ผู้คนนิยมมาดูเปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue Flame) ซึ่งต้องมาดูก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลสาบสีฟ้า (ฺBlue Lake) ที่มีสีสันสวยงามจากกรดกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริก สำคัญมากคือหน้ากากกันแก๊สพิษ เพราะควันจากภูเขาไฟทั้งฉุนและแสบตา ยิ่งถ้าหายใจเข้าไปนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
ทุกคนตื่นเต้นและดีใจมากที่มาทันได้เห็นบลูเฟมกัน พอสว่างบลูเลคก็อวดโฉมออกมาให้ชมอีกด้วย ช่างเป็นทะเลสาบที่มีสีสวยงามจริงๆ แต่เพื่อนๆ อย่าได้คิดไปสัมผัสเชียวนะครับ เพราะมันคือน้ำกรดที่แรงมาก หลังจากนั้นไม่นานควันพิษก็ฟุ้งกระจายจนมองอะไรไม่เห็นต้องรีบเอาหน้ากากมาใส่ รอสักพักก็ไม่มีที่ท่าว่าควันจะจางหายเราจึงตัดสินใจร่ำลาคาวาอีเจี้ยนไว้เพียงเท่านี้ มาดูบรรยากาศสองข้างทางยามเช้าที่คาวาอีเจี้ยนกันครับ
พร้อมแล้วหว่าหวาก็พาพวกผมไปทานอาหารเช้าที่อยากกินอะไรก็ตักได้เลย มีทั้งข้าวขาวและข้าวผสมขมิ้นสีเหลือง กับข้าวจะแบ่งเป็นสองชั้น โดยชั้นบนจะคิดเงินตามอาหารที่ตัก ส่วนชั้นล่างตักได้ฟรีไม่อั้น
เมื่ออิ่มกันเรียบร้อย หว่าหวาก็ซื้อสละอินโดเลี้ยงอีกแล้วก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังน้ำตกมาดาคาริปุระ พวกเราอยู่กันบนรถต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง จนรู้สึกว่าแอร์ไม่สามารถสู้กับอากาศร้อนจากภายนอกได้เลย ต้องรีบให้หว่าหวาพาไปแวะร้านมินิมาร์ทเย็นๆ ถึงค่อยยังชั่ว ร่างกายต้องแข็งแรงแค่ไหนถึงจะทนได้ทุกสภาพอากาศ ทั้งหนาวจัดและร้อนจัด ฮ่าๆๆ แล้วในที่สุดก็มาถึงน้ำตกมาดาคาริปุระสักที
น้ำตกมาดาคาริปุระ (Madakaripura Waterfall)
เป็นน้ำตกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชินีแห่งเกาะชวาตะวันออก มีความสูง 200 เมตร โดยเราจะต้องนั่งมอเตอร์ไซต์และเดินเท้าต่อเพื่อเข้าไปชมจุดที่สวยที่สุดของน้ำตก อย่าลืมเตรียมเสื้อกันฝนมาด้วยนะครับ การเข้าไปที่น้ำตกจะต้องมีไกด์พาไปเท่านั้น เพราะทางเข้าไปทั้งลื่นและลำบาก ไกด์จะคอยประคองและชี้ทางให้เราเดินไปได้อย่างปลอดภัย
พวกเราอยู่ซึมซับบรรยากาศที่น้ำตกกันอย่างเต็มที่ น้ำตกสาดซัดลงมาเป็นสายไม่ขาด ไม่สามารถหลบละอองน้ำได้เลยถ้าไม่มีเสื้อกันฝน และทำให้การหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเป็นเรื่องยากอีกด้วย พวกเราครองโซนด้านในนี้กันเกือบชั่วโมงถึงคิดได้ว่าควรที่จะกลับแล้ว ต้องสุขภาพแข็งแรงขนาดไหนถึงทนได้ทั้งเย็นจัด ร้อนจัด และชื้นสุดๆ ฮ่าๆๆ
หว่าหวาไปส่งพวกผมที่โรงแรม Bromo Permai ในหมู่บ้าน Cemoro Lawang แล้วก็ส่งต่อผมให้คนขับรถจิ๊บ โดยนัดแนะกันว่าจะมารับตอนตี 3 ให้เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจึงนอนพักผ่อนกันตั้งแต่หัวค่ำ จนกระทั่งนาฬิกาเดินมาถึงเวลานัดหมาย
จุดชมวิว Penanjakan
รถจิ๊บพาพวกเราเดินทางออกจากที่พักตอนตี 3 เพื่อไปยังจุดชมวิว Penanjakan เราจะได้เห็นแสงแรกของวันที่นี่ และจากจุดนี้เราจะได้เห็นภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟบาต๊อก และภูเขาไฟเซเมรุอย่างชัดเจน ข้างบนก่อนฟ้าสว่างอุณหภูมิจะประมาณ 4-6 องศา ดังนั้นเสื้อกันหนาวสำคัญมากเลยนะครับ
ภูเขาไฟโบรโม่ (Mt.Bromo)
หลังจากชมวิวที่ยอดเขา Penanjakan แล้ว รถจิ๊บจะพาไปยังจุดจอดรถด้านล่างเพื่อให้เราเดินหรือขี่ม้าไปชมปากปล่องภูเขาไฟ ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเพราะด้วยความที่เป็นภูเขาไฟที่ไม่สูง และที่ตีนภูเขาถึงปากปล่องมีบันไดให้เดินขึ้นลงได้อย่างสะดวก ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเป็นจำนวนมาก เมื่อขึ้นไปแล้วตรงบริเวณปากปล่องทางจะแคบและอันตราย ดังนั้นต้องใช้ความระมัดระวังมากเลยนะครับ
ทุ่งหญ้าสะวันน่า (Savana)
หลังจากขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่แล้ว ใครที่ซื้อทัวร์เพิ่มเติมไว้ รถจิ๊บจะพาไปแวะที่ทุ่งหญ้าสะวันน่า (ทุ่งหญ้าเขตร้อน) ลักษณะภูมิประเทศมีหุบเขาโอบล้อมรอบทุกด้าน มองไปทางไหนก็จะเจอแต่ทุ่งหญ้าสีเขียวสดชื่น
เสร็จจากทุ่งหญ้าสะวันน่าคนขับรถจิ๊บก็พาเราไปส่งที่หมู่บ้านเรนูพานี พวกผมพักที่ Tasrip Homestay ซึ่งห้องพักราคาไม่แพงและมีน้ำร้อนให้อาบ (กลางคืนที่นี่จะหนาวมาก) เจ้าของเป็นคุณลุงใจดีชื่อโทมัสคอยช่วยเหลือพวกเราตลอด ขอจบตอนไว้แค่นี้ก่อนล่ะกัน เพราะเดี๋ยวพวกผมต้องไปวางแผนพิชิตภูเขาไฟเซเมรุกับเจ้าหน้าที่ก่อนนะคร้าบ
ติดตามตอนที่ 3 ต่อที่นี่ได้เลยครับ
ภารกิจปีนภูเขาไฟ ตอนที่ 3 – เซเมรุ เรนูคัมโบโล
Facebook Comments